นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบรถบรรทุกที่ขนส่งสินค้าน้ำหนักเกินกำหนดทั่วประเทศ ในการนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก บูรณาการร่วมมือกับจังหวัด กระทรวงมหาดไทย ทหารและตำรวจ เพื่อดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในการจัดตั้งด่านชั่งน้ำหนักยานพาหนะ ไม่ให้มีรถบรรทุกน้ำเกินในพื้นที่ของประเทศ เพื่อลดความเสียหายของถนนและลดการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้ เพื่อให้การควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกบรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อสั่งการดังกล่าว ในส่วนของกรมทางหลวงชนบท จึงได้กำหนดมาตรการในการดำเนินงานโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะสั้น
-จัดตั้งด่านชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่แบบบูรณาการกับหน่วยงานภายนอก เช่น กรมทางหลวง ทหาร ตำรวจ กรมการขนส่งทางบก และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
-ปรับเพิ่มแผนการดำเนินงานเน้นการทำงานเชิงรุกในสายทางที่มีความเสี่ยงในการบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เข้มงวดให้การควบคุม กำกับน้ำหนักบรรทุกให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเพิ่มปริมาณความถี่ ในการตั้งด่านชั่งน้ำหนัก
- ปรับแผนเน้นเข้าดำเนินการกำกับควบคุมน้ำหนักบรรทุกในสายทางที่มีความเสี่ยงที่จะมีการบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เช่น สายทางที่มีแหล่งวัสดุก่อสร้าง โรงงานน้ำตาล ผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าอื่นๆ อยู่ในสายทาง เพื่อเป็นการควบคุมน้ำหนักบรรทุกจากต้นทาง
- เคร่งครัดตามนโยบายรัฐบาล โดยควบคุมและไม่อนุญาตให้รถบรรทุกน้ำหนักเกินและไม่อนุญาตให้มีการผ่อนผันเรื่องน้ำหนักรถบรรทุกอ้อย ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เมษายน จะเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร ตลอดจนการควบคุมพื้นที่ชายแดนที่มีความเสี่ยงจะบรรทุกน้ำหนักเกิน เช่น ด่านแม่สอด จ.ตาก ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ด่านเชียงของ จ.เชียงราย และด่านมุกดาหาร จ.มุกดาหาร
ระยะกลาง
- ได้กำหนดแผนในการก่อสร้างสถานีด่านชั่งน้ำหนักยานพาหนะ ในพื้นที่สายทางที่มีปริมาณรถบรรทุกสูง ถนนสายหลัก โดยวิเคราะห์ความเหมาะสมจากปัจจัยทางด้านวิศวกรรม และความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่กรมทางหลวงชนบท ใช้เพื่อกำกับป้องปรามรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน
ระยะยาว
- กรมจะประสานกับกระทรวงคมนาคม/กรมทางหลวง เพื่อที่จะเสนอแนวคิดให้มีการแก้ปัญหาควบคุมน้ำหนักบรรทุกให้มีประสิทธิภาพ และมีบทลงโทษรุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่น ผลจากการกระทำความผิด ต้องรวมถึงผู้จ้างวาน/เจ้าของกิจการ , มีการปรับเป็นอัตราก้าวหน้า เช่น ครั้งที่ 1 ปรับ 20% ของมูลค่ารถความผิด ครั้งที่ 2 ปรับ 50% ของมูลค่ารถที่ทำความผิด ครั้งที่ 3 ให้ทำการยึดพาหนะ ให้เป็นทรัพย์สินของราชการสามารถนำมาขายทอดตลาด เพื่อนำมาชดเชยค่าซ่อมบำรุง , ผู้กระทำความผิดต้องมีส่วนรับผิดชอบในการซ่อมฟื้นคืนสภาพให้แก่ถนน แม้ถนนจะอยู่ระหว่างค้ำประกันสัญญา , สามารถดำเนินการทางกฎหมายกับยานพาหนะที่ขัดขืนไม่เข้าชั่งให้ถือเป็นกรณีแสดงเจตนากระทำความผิด เป็นต้น