ปตท.มั่นใจศักยภาพคลังแอลเอ็นจีพร้อมจับมือสร้างพันธมิตร

14 พ.ย. 2559 | 09:41 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2559 | 16:41 น.
นายนพดล  ปิ่นสุภา  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมโครงข่ายพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการใช้และการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558-2579 ว่า ขณะนี้การก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 1 ระยะที่ 2 ณ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมือง จ.ระยอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณสำรองแอลเอ็นจีจาก 5 ล้านตันต่อปี เป็น 10 ล้านตันต่อปี เป็นไปตามแผนงานด้วยดี คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี พ.ศ. 2560 โดย ปตท. พร้อมที่จะเดินหน้าก่อสร้างโครงการส่วนขยายอีก 1.5 ล้านตัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2562 เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ  รวมถึงการสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งที่ 2 ในบริเวณใกล้เคียง และศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการก่อสร้างคลังก๊าซธรรมชาติเหลวลอยน้ำ (Floating Storage and Regasification Unit : FSRU) ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างพันธมิตรต่อยอดสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

โดย บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ได้ก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG Receiving Termina แห่งแรกของกลุ่ม ปตท. และแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วเสร็จเมื่อปี 2554 โดยระยะที่ 1 สามารถจัดเก็บแอลเอ็นจีได้ในปริมาณ 5 ล้านตันต่อปี ซึ่งได้รองรับการนำเข้าแอลเอ็นจีเพื่อแก้ปัญหาการขาดก๊าซธรรมชาติในสถานการณ์ฉุกเฉิน  และได้ก่อสร้างระยะที่ 2 ต่อเนื่องในพื้นที่เดียวกัน เพื่อเพิ่มปริมาณการจัดเก็บให้เป็น 10 ล้านตันต่อปี ประกอบด้วย ถังบรรจุแอลเอ็นจี จำนวน 2 ถัง อุปกรณ์เปลี่ยนสถานะจากของเหลวให้เป็นก๊าซ (Regasification) และ ท่าเทียบเรือ (Jetty) นอกจากนี้ ปตท. ได้วางแผนดำเนินธุรกิจแอลเอ็นจีให้บริหารจัดการได้อย่างครบวงจรยิ่งขึ้น ทั้งในการศึกษาแนวทางการขนส่งแอลเอ็นจีด้วยหน่วยงานภายในที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางเรือ เพื่อบริหารต้นทุนอย่างเหมาะสม มีความยืดหยุ่นต่อการบริหารจัดการ มากที่สุด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการแสวงหาและลงทุนในแหล่งปิโตรเลียม   ใหม่ๆ ด้วย

“แอลเอ็นจี เป็นพลังงานสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ ปตท. จึงให้ความสำคัญในการทำแผนงานรองรับอย่างดีที่สุด ตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐด้วยศักยภาพที่มีพร้อมอยู่ เนื่องจากปัจจุบันแหล่งพลังงานเดิมมีหลายปัจจัยที่มีผลกระทบและอาจส่งผลต่อปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติของประเทศ  อาทิ ในโอกาสที่แหล่งก๊าซฯ มีการซ่อมบำรุง จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงอื่นๆ ทดแทน ปตท. สามารถเพิ่มการจ่ายแอลเอ็นจี เพื่อทดแทนปริมาณก๊าซฯ ที่ขาดหายไป และลดกำลังการผลิตของ โรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อควบคุมคุณภาพก๊าซฯ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์พลังงานของประเทศ  ปตท. จะทำหน้าที่ในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดหาพลังงานรองรับเพื่อลดผลกระทบของทุกฝ่ายให้ได้มากที่สุด ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ” นายนพดล กล่าวย้ำในตอนท้าย