‘เลดี้ออเดรย์’โฉมใหม่บูมตลาด ชูนวัตกรรมข้าวลุยจีน-ฮ่องกง

29 ต.ค. 2559 | 09:00 น.
เนอเชอร์แคร์ เตรียมส่งแป้งฝุ่น “เลดี้ ออเดรย์” โฉมใหม่บูมตลาดอีกรอบต้นปีหน้า ชูจุดแข็งสินค้านวัตกรรมจากข้าว ช่วยแต่งหน้าให้ติดทนนานและปลอดภัยจากวัตถุดิบธรรมชาติ พร้อมส่งออกไปตีตลาดจีนและฮ่องกง เล็งออกสินค้าใหม่ แป้งสำหรับผู้สูงอายุ

[caption id="attachment_109041" align="aligncenter" width="335"] วาทิน วงศ์สุรไกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนอเชอร์แคร์ จำกัดผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้งจากข้าว แบรนด์ไรซ์แคร์ (RiceCare) และแป้งฝุ่นแบรนด์เลดี้ ออเดรย์(Lady Audrey) วาทิน วงศ์สุรไกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนอเชอร์แคร์ จำกัดผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้งจากข้าว แบรนด์ไรซ์แคร์ (RiceCare) และแป้งฝุ่นแบรนด์เลดี้ ออเดรย์(Lady Audrey)[/caption]

นายวาทิน วงศ์สุรไกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนอเชอร์แคร์ จำกัดผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้งจากข้าว แบรนด์ไรซ์แคร์ (RiceCare) และแป้งฝุ่นแบรนด์เลดี้ ออเดรย์(Lady Audrey) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ได้เตรียมปรับภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์เลดี้ ออเดรย์ หลังจากได้เปิดตัวสินค้าออกมาทำตลาดได้กว่า 1 ปีแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร บริษัทจึงกลับมาพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นพร้อมเตรียมเปิดตัวใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมปี 2560

“การเปิดตัวในครั้งแรกของแบรนด์เลดี้ ออเดรย์ ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับบริษัท การชูคุณสมบัติเด่นเรื่องการควบคุมความมันได้ดี จึงไม่ได้สร้างความแตกต่างให้เห็นเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่วางตลาดอยู่ก่อนหน้า เพราะทุกแบรนด์มุ่งเน้นในเรื่องการควบคุมความมัน สินค้าจึงไม่ได้แตกต่าง ขณะที่การแข่งขันในตลาดมีสูง การทำตลาดจึงต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมาก เพื่อการโฆษณาสินค้า ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบาก”

โดยแนวทางการทำตลาดและสร้างแบรนด์ จะเน้นจุดแข็งของบริษัทที่เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบจากข้าวที่มีความล้ำสมัย โดยแป้งจากข้าวมีคุณสมบัติเด่นที่ดีกว่าแป้งทัลคัม และมีความปลอดภัยกว่าเพราะเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติ แต่สินค้ากลุ่มเครื่องสำอางอย่างแบรนด์เลดี้ ออเดรย์ การนำคุณสมบัติเรื่องความปลอดภัยมาเป็นจุดขาย ผู้หญิงอาจจะไม่สนใจ เท่ากับคุณสมบัติเรื่องความสวย จึงจะเน้นชูเรื่องคุณสมบัติในด้านการดูดซับความมัน เหมาะกับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวแพ้ง่าย และยังช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนานกว่าแป้งจากทัลคัม มาเป็นจุดเด่นของสินค้าใหม่ที่จะนำออกมาทำตลาด

สำหรับการพัฒนาแบรนด์เลดี้ ออเดรย์ได้วางแผนไว้ในระยะ 3 ปี ซึ่งช่วง 1 ปีแรกเป็นการเปิดตัว แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก โดยเป็นปรับภาพลักษณ์ใหม่ของสินค้า ทั้งบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ และคุณสมบัติสินค้าที่ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวางบุคลิกภาพของแบรนด์ ( Brand Personality) หลังจากนั้นจะเปิดตัวสินค้าอย่างเป็นทางการ พร้อมกับวางแนวทางการทำตลาดและสร้างแบรนด์ ซึ่งเน้นผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก โดยวางงบประมาณสำหรับการทำตลาดในปีแรก 10-12 ล้านบาท หลังจากนั้นจะดูผลตอบรับของยอดขาย เพื่อพัฒนาแบรนด์ต่อในเฟสต่อไป

ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย นายวาทิน กล่าวว่า จะเน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซ เพื่อเชื่อมโยงการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ อาทิ เฟสบุ๊ค ไลน์ และเว็บไซต์ รวมถึงการวางแผนเปิดรับตัวแทนจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ด้วย ขณะเดียวกันยังขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้านสุขภาพและความงามเพิ่มด้วย นอกจากนี้ยังวางแผนส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศ ที่ขณะนี้มีตัวแทนจำหน่ายสนใจนำสินค้าเข้าไปขายบ้างแล้วในประเทศจีน และฮ่องกง

“ที่ผ่านมาบริษัทมีตลาดส่งออกไปในประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี และมาเลเซีย ทั้งรูปแบบรับจ้างผลิตและส่งสินค้าไปขาย และหลังจากที่บริษัทได้ออกไปร่วมงานแสดงสินค้าในหลายประเทศ ก็เริ่มมีตัวแทนที่สนใจนำสินค้าของบริษัทไปจำหน่ายด้วย โดยเฉพาะจีนและฮ่องกง ซึ่งเป็นการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ในต่างประเทศเติบโตสูง ยอดขายสินค้าออนไลน์คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 10-13% ของตลาด ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนเพียง 2% ทำให้ตลาดต่างประเทศและช่องทางออนไลน์ยังมีโอกาสสร้างการเติบโตให้บริษัทได้อีกมาก”

ส่วนแป้งเด็กไรซ์แคร์ถือว่าได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคที่ดีมีอัตราการเติบโตเพ่มขึ้น 60-70% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากช่วงต้นปีนี้มีเกิดข้อพิพาทระหว่างบริษัทผู้ผลิตแป้งทัลคัมกับผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใช้สินค้าของบริษัทมากขึ้น ประกอบกับการขยายช่องทางการจัดจำหน่ยสินค้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าแบรนด์ไรซ์แคร์ยังคงเติบโตต่อไป คาดว่าในปีหน้าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 50%

นายวาทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มสินค้าใหม่เป็นแป้งสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งยังคงเป็นวัตถุดิบจากข้าว เนื่องจากพบว่าผู้สูงอายุจะมีปัญหาเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทั้งจากผู้สูงอายุที่ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป หรือผู้สูงอายุที่นอนติดเตียง หรือมีปัญหาแผลกดทับ และผู้สูงอายุที่ไม่ได้สระผมเป็นระยะเวลานาน ซึ่งแป้งจากข้าวสามารถช่วยลดปัญหาต่างๆ ดังกล่าวได้ บริษัทจึงวางแผนพัฒนาสินค้าและหาช่องทางจัดหน่ายโดยเฉพาะด้วย

ส่วนกลุ่มแป้งเด็กจะมีสินค้าในบรรจุภัณฑ์ใหม่ในลักษณะขวดและใช้พัฟท์ ซึ่งเน้นขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น เพื่อให้สินค้ามีความเป็นพรีเมียม ทำให้คาดว่าในปีหน้ากลุ่มสินค้าแป้งเด็นจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้มีตัวแทนจำหน่ายจากประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจที่จะสั่งซื้อสินค้าไปจำหน่ายด้วย ด้านกำลังการผลิตบริษัทได้ลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเครื่องจักรที่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 20 เท่า จากปกติที่ผลิตแป้งได้วันละ 5,000-6,000 กระป๋อง เป็นวันละ 1-1.2 แสนกระป๋องต่อวัน โดยเครื่องจักรดังกล่าวเป็นนวัตกรรมพิเศษ ที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาได้คิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ

“ตลาดแป้งเด็กหลังจากผ่านพ้นกระแสข่าวคดีความการฟ้องร้องของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายแป้งกับผู้บริโภค ตลาดก็ชะลอตัวลงส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้บริโภคมีความกังวลใจต่อการใช้สินค้าแป้งที่ผลิตจากแร่ทัลคัม แต่ยอดขายของบริษัทยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นดัชนีที่บอกอะไรได้บางอย่างว่า ผู้บริโภคต้องการสินค้าจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัย จึงถือเป็นโอกาสทางการตลาดของแป้งจากข้าว ซึ่งในปีหน้าบริษัทยังคงเดินหน้าทำการตลาดและสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง โดยจะใช้งบประมาณตลอดทั้งปี 20 ล้านบาท”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,204 วันที่ 27 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559