หลังคร่ำหวอดในธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาว มาร่วม 3 ปี กับเป้าหมายการเข้ามาบริหารธุรกิจโรงแรมของตัวเองเต็มตัวที่จังหวัดจันทบุรี ภายใต้ชื่อโรงแรมเซนต์ โทรเปซ บีช รีสอร์ท ประสบการณ์ที่สั่งสมและเก็บเกี่ยวมามีส่วนช่วยในการบริหารโรงแรมแห่งนี้อย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์ นางสาวทิพย์วรรณ เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่โรงแรมเซนต์ โทรเปซ บีช รีสอร์ท
[caption id="attachment_106576" align="aligncenter" width="336"]
ทิพย์วรรณ เจริญวงศ์
กรรมการผู้จัดการใหญ่โรงแรมเซนต์ โทรเปซ บีช รีสอร์ท[/caption]
เรียนรู้ธุรกิจจาก 2 โรงแรมหรู
การลงทุนธุรกิจโรงแรม ต้องถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ที่ทางครอบครัวเพิ่งจะเริ่มเข้ามาจับ เพราะที่ผ่านมาคุณพ่อทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในลักษณะสร้างบ้าน สร้างคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งก็ทำมาหลายโครงการ อาทิ โครงการ"เปเลส คาสเซิล"ใกล้กับมหาวิทยาลัยเอแบค บางนา ที่มีรูปลักษณ์อาคารสไตล์โรมัน สไตล์หลุยส์ ซึ่งในตอนนั้นเธอ กำลังเรียนด้านบิสิเนส แมเนจเม้นท์ ที่มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ แต่พอใกล้เรียนจบก็ทราบว่าคุณพ่อตัดสินใจซื้อที่ดินติดทะเลราว 6 ไร่กว่า ริมชายหาดแหลมเสด็จ เมื่อ 3 ปีก่อน เพราะมาเที่ยวแล้วชอบบรรยากาศ จึงมองที่จะพัฒนาเป็นโรงแรม
จากจุดนี้ทำให้เธอเริ่มมองที่จะเรียนรู้ธุรกิจโรงแรม และในช่วงนั้นเมื่อโรงแรมยังสร้างไม่เสร็จ ประกอบกับเป็นช่วงที่เธอเรียนจบ จึงมาสมัครงานที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ เนื่องจากมองว่าเป็นโรงแรมที่เปิดให้บริการมา 30 กว่าปี และมีชื่อเสียงด้านการบริการเป็นอันดับต้นๆ โดยเริ่มจากการเป็นแมเนจเมนต์ เทรนนี ต่อมาก็ได้เรียนรู้ระบบต่างๆ ของโรงแรม เป็นพื้นฐานเพื่อที่จะนำมาใช้ดูแลโรงแรมของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการบริการส่วนหน้า (Front Office) งานด้านการขายและการตลาด และงานด้านประชาสัมพันธ์ ที่มีความสำคัญกับธุรกิจโรงแรมเช่นกันในเรื่องของการวางภาพลักษณ์ และเป็นแผนกสำคัญที่เธออยากเรียนรู้ เพราะเชื่อว่ากว่าเซลล์ จะไปพบลูกค้า ต้องรู้จักโรงแรมก่อน ซึ่งเธอใช้เวลา 1 ปีกว่าในการหาประสบการณ์ที่โรงแรมแห่งนี้
ต่อมาก็มองที่จะหาประสบการณ์กับที่ใหม่ เพื่อดูว่าแต่ละที่มีระบบบริหารแตกต่างกันอย่างไร จึงตัดสินใจเปลี่ยนงาน มาทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ที่นี่เธอได้เรียนรู้ถึงการทำงานที่ประสานงานกับหลายแผนก ยกตัวอย่าง การจัดอีเว้นท์ 1 งาน ต้องประสานกับฝ่ายต่างๆทั้งการบริการส่วนหน้า ฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม(F&B) ก็ทำให้ได้เรียนรู้ รู้จักแก้ปัญหา กับการทำงานไปพร้อมๆ กัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เธอตั้งเป้าหมายอยู่แล้วที่อยากจะเข้าไปเรียนรู้งาน
ใช้ประสบการณ์วางระบบเปิดรร.
เธอเล่าต่อว่าระหว่างที่ทำงานในโรงแรมแห่งนี้ งานก่อสร้างโรงแรมที่คุณพ่อ เป็นคนรับผิดชอบในการออกแบบและก่อสร้าง เริ่มแล้วเสร็จ เธอจึงต้องเข้ามารับช่วงตอนบริหารวางระบบต่างๆในการเปิดโรงแรม เมื่อเดือนตุลาคมปี2558 ซึ่งด้วยความที่ทำงาน 2 ที่พร้อมกัน ทำให้แทบไม่มีเวลา จึงตัดสินใจออกจากโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ มาสตาร์ทธุรกิจของตัวเองเต็มตัว เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
สิ่งที่ยากที่สุด คงเป็นช่วงการเปิดโรงแรม เพราะเป็นการสตาร์ททุกอย่าง พนักงานใหม่ ส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ จะเอากฎระเบียบเหมือนโรงแรมใหญ่ในกรุงเทพฯมาใช้ไม่ได้ ต้องปรับให้เหมาะสม และโรงแรมก็ใหม่ แต่โชคดีที่เรามีประสบการณ์จาก 2 โรงแรมมาก่อน ทำให้มีวิธีจัดการได้ง่ายขึ้น และด้วยประสบการณ์ที่มีมา จึงทำให้พอจะรู้จักเอเย่นต์ต่างๆและบริษัทคอร์ปอเรตต่างๆ ที่ทำให้เราไปเจาะได้
"แม้ตัวเองจะมีประสบการณ์ด้านโรงแรมในระดับ 5 ดาวมา ทำให้ทราบการบริหารจัดการในธุรกิจโรงแรมก็จริง แต่การจะนำมาใช้กับโรงแรมของตัวเอง ก็ต้องปรับใช้นำให้เหมาะสม เพราะเซนต์ โทรเปซ บีช รีสอร์ท ไม่ได้เป็นโรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพฯ แต่เป็นรีสอร์ทในเมืองท่องเที่ยว และเป็นหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยว ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)โปรโมทให้เป็นเมืองต้องห้ามพลาด"
ดังนั้นฐานลูกค้าก็จะแตกต่างกัน หาทำตลาดก็จะคนละแบบ เพราะโรงแรมใหญ่ในกรุงเทพฯต้องเน้นเรื่องการขายอาหารและเครื่องดื่มเป็นหลัก ส่วนด้านห้องพักต้องเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่โรงแรมเซนต์ โทรเปซ บีช รีสอร์ท จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวไทย เป็นหลัก และลูกค้าต่างชาติก็มีบ้างแต่ยังไม่มาก และต้องเน้นกลุ่มบริษัทคอร์ปอเรต จากกรุงเทพฯที่มาจัดประชุมสัมมนาและท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล
อีกทั้งด้วยจุดเด่นของโรงแรมเซนต์ โทรเปซ บีช รีสอร์ท คือ การให้บริการในรูปแบบโรงแรมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีห้องพัก จำนวน 89 ห้อง ทั้งห้องพักภายในอาคาร และบ้านพักอากาศริมทะเล มีห้อง ประชุมสัมมนา คอนเซ็ปต์โรงแรม จะสร้างบรรยากาศคล้ายกับเซนต์ทรอเป เมืองท่าของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นจุดขายใหม่ของธุรกิจโรงแรมในจันทบุรี ที่ถือว่ายังมีคู่แข่งน้อย เพราะห้องพักที่จันทบุรี ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะบังกะโล หรือเกสเฮ้าส์
โรงแรมแห่งนี้ เพิ่งเปิดให้บริการใกล้จะครบ 1 ปี แต่เจ้าตัวก็ค่อนข้างพอใจ เพราะติดอันดับเรื่องการจองห้องพักในทราเวล ออนไลน์ชื่อดัง อย่าง อโกด้า ส่วนอัตราการเข้าพักในช่วงศุกร์-เสาร์ เฉลี่ยจะอยู่ที่ 90% ส่วนวันธรรมดา เฉลี่ยอยู่ที่ 20% ลูกค้ากว่า 80% จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง(FIT) ส่วนลูกค้าต่างชาติ จะเป็นการจองผ่านทราเวล เอเย่นต์ ออนไลน์ต่างๆ อย่าง ทราเวลโลก้า บุกกิ้งดอทคอม อโกด้า
เดินหน้าสร้างห้องพักเพิ่มอีก 80 กว่า
ส่วนสิ่งที่เธอจะต้องขับเคลื่อนต่อ คือ การผลักดันการขายในช่วงวันธรรมดา โดยประสานกับทราเวล เอเย่นต์ ซึ่งเธอมีฐานข้อมูลที่สะสมไว้ เพื่อแนะนำโรงแรมและทำตลาด และในต้นปีหน้า คงจะเห็นกิจกรรมหรืออีเว้นท์ต่างๆมากขึ้น รวมถึงการดึงกลุ่มบริษัทคอร์ปอเรตเข้ามาจัดงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงแรมมีห้องแกรนด์บอลรูม ที่รองรับผู้เข้าร่วมงานได้สูงสุด 450 ท่าน นอกจากห้องประชุมขนาดเล็ก ซึ่งที่ผ่านมาโรงแรมก็เคยรองรับลูกค้าจากฮอนด้า และปตท.มาแล้ว เพราะกลุ่มบริษัทเหล่านี้มักจะมีการจัดเอ้าท์ติ้ง เดสติเนชั่นใหม่ๆในการจัดประชุม-สัมมนา นอกจากที่จัดกันอยู่บ่อยๆในเมืองท่องเที่ยวหลัก
ที่ผ่านมาโรงแรมเคยรองรับกรุ๊ป ประชุม-สัมมนา สูงสุดกว่า 500 คน แต่โรงแรมมีที่พักแค่ 89 ห้อง ทำให้ต้องมีการกระจายไปพักโรงแรมอื่นๆ ทำให้เรามองที่จะสร้างห้องพักเพิ่มอีก 80 กว่าห้อง ซึ่งเป็นที่ดินฝั่งตรงข้ามโรงแรมในปัจจุบัน เพื่อรองรับแผนการดึงกลุ่มคอร์ปอเรต จากทั้งกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆให้มาใช้บริการที่โรงแรมเพิ่มขึ้นนั่นเอง
นี่จึงถือเป็นว่าเป็นเคสที่น่าสนใจในแวดวงโรงแรมไทย กับเส้นทางแห่งการเรียนรู้ ที่ถูกวางเป้าหมายไว้ เพื่อนำมาบริหารธุรกิจของตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวมองเป้าหมายต่อไปว่าอยากจะให้ลูกค้ามาพักแล้วรู้สึกพึงพอใจกับโรงแรมแห่งนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,201 วันที่ 16 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559