ยุตินำเข้าข้าวโพด ไม่ตอบโจทย์ แก้ฝุ่นพิษ

06 เม.ย. 2566 | 12:58 น.

ยุตินำเข้าข้าวโพด แก้ฝุ่นพิษได้จริงหรือ? : บทความโดย พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย

ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชน หลายคนแสดงความคิดเห็น โดยพยายามหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดฝุ่นพิษแต่ดูเหมือนจะไปกันคนละทางสองทาง ไม่มีใครรวบรวมประเด็นที่มาและชี้แนะแนวทางแก้ไขได้อย่างครอบคลุมรอบด้าน โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่มาแทน เช่น บางพรรคการเมืองที่เสนอแนวคิดเพื่อเรียกคะแนนเสียง หรือ NGO ที่ใช้โอกาสนี้ทำผลงาน โดยไม่มองผลกระทบใหม่ที่จะตามมา

สาเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่นควันก็คือ “ไฟป่า” ซึ่งเกิดจากภัยธรรมชาติ และ ไฟป่าจาก “ฝีมือมนุษย์” ที่เผาเพื่อหาของป่า หรือไถกลบพืชไร่ เช่น อ้อย ข้าวโพด ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสาเหตุทั้งการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงบนท้องถนน การผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ที่ต้องใช้พืชไร่มหาศาล การขับเคลื่อนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม แม้แต่กิจกรรมจุดธูป-เทียนไหว้พระ เผากระดาษไหว้เจ้า หรือการสูบบุหรี่ ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สร้างฝุ่นควันขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ทั้งสิ้น

ยุตินำเข้าข้าวโพด  ไม่ตอบโจทย์ แก้ฝุ่นพิษ

ล่าสุด กลับมีบางหน่วยงานเสนอให้ ยุตินำเข้าข้าวโพดจากเพื่อนบ้าน ซึ่งมีข้อจำกัดมากมาย และมองไม่เห็นเลยว่าจะแก้ปัญหา PM 2.5 ได้อย่างไร ในทางกลับกัน จะกลายเป็นการสร้างปัญหาให้ประเทศต้องแก้ไขอีกหลายเปลาะ  

ประการแรก : ต้องเข้าใจภาพรวมก่อน ว่าประเทศไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เพียง 5 ล้านตันต่อปี แต่ความต้องการใช้มีราว 8 ล้านตันต่อปี  ขณะเดียวกันไทยก็ได้ลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area หรือ AFTA) ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีของประเทศในภูมิภาคนี้ โดยให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นสินค้านำเข้าเสรี ไม่ต้องเสียภาษีและไม่มีโควต้าตลอดปี แต่ประเทศไทยอนุญาตให้นำเข้าได้เฉพาะช่วงกุมภาพันธ์-สิงหาคมเท่านั้น ในขณะที่ประเทศสมาชิกอื่น ๆ เปิดเสรีตลอดปี แค่นี้ยังสร้างปัญหากลายเป็นดินพอกหางหมูมาจนถึงปัจจุบัน กระทบต่อเนื่องไปถึงต้นทุนการผลิตภาคปศุสัตว์ ทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งเรื่อยมา 

ประการต่อมา : การจะยุตินำเข้าข้าวโพดกับประเทศสมาชิก หากมีหลักฐานชัดเจนว่าเราได้รับผลกระทบจากเพื่อนบ้านเท่านั้น ในไทยไม่มีการเผาใด ๆ เลย ก็อาจเป็นเหตุเป็นผลพอรับฟังได้ แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็จะย้อนแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฎในแผนที่จุด Hot Spot ผ่านดาวเทียมที่ทุกประเทศมี ประเทศไทยก็คงถูกประชาคมโลกประณามและงัดมาตรการใด ๆ ขึ้นมาตอบโต้ให้ต้องแก้ปัญหาอีกหลายตลบ  

 

ยุตินำเข้าข้าวโพด  ไม่ตอบโจทย์ แก้ฝุ่นพิษ ประการที่สาม : สำหรับประเด็นจุด Hot Spot ในเมียนมา มีการศึกษาหรือไม่ว่า จุดความร้อนนั้นเกิดจากไฟป่าเหมือนบ้านเรา หรือเกิดจากอะไรกันแน่ ที่สำคัญ การจัดการแก้ปัญหาฝุ่นควันในประเทศเมียนมานั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของใคร? หรือเป็นความผิดของ “พ่อค้าพืชไร่ชาวไทย” ที่ไปนำเข้าข้าวโพดมาปรับปรุงคุณภาพ ลดความชื้น แล้วส่งขายให้บริษัทต่าง ๆ โดยต้องแข่งขันกับพ่อค้าจากเวียดนามและจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของ “ข้าวโพดเมียนมา” เช่นกัน

ตรงนี้ก็เป็นประเด็น เมื่อกระทรวงพาณิชย์ของไทยดันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศให้สูงกว่าตลาดโลก จึง “ล่อใจ” ให้พ่อค้าพืชไร่เร่งนำเข้าจากเมียนมา ถึงขนาดมีการลักลอบนำเข้าในช่วงเดือนที่ประเทศไทยห้ามนำเข้า ส่งผลให้ราคาข้าวโพดเมียนมาขายได้ราคาดีตามไปด้วย เมื่อราคาสูงขึ้นเกษตรกรก็เร่งขยายการปลูกทั้งในไทยและในเมียนมา  เป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยมา  

ประการที่สี่ : ภาคเอกชนไทยมีความพยายามอย่างยิ่งในการเรียกร้องให้ภาครัฐ ยกระดับมาตรฐานการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยสนับสนุนมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้จากผู้นำเข้าสินค้าปศุสัตว์ในยุโรปในประเด็นความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือแนวทางในการทำการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีและปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด โดยขบวนการผลิตจะต้องปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมี ไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และมีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนได้ผลผลิตสูง คุ้มค่าการลงทุน ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางการเกษตร สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม

หากจะยุติการนำเข้าข้าวโพดเพื่อนบ้าน ประเทศไทยต้องมั่นใจว่าข้าวโพดของไทยทั้งประเทศมีมาตรฐาน GAP แล้ว ซึ่ง ณ ตอนนี้มาตรฐานดังกล่าวยังเป็นเพียงมาตรฐานสมัครใจ ไม่ใช่มาตรฐานบังคับ จึงได้เห็นเพียงบริษัทใหญ่บางรายที่มีความพร้อมเท่านั้น ที่สามารถดำเนินการในเรื่องนี้ได้อย่างมีมาตรฐานและบรรลุเป้าประสงค์ รับซื้อเฉพาะข้าวโพดที่ปราศจากการรุกป่าและการเผาได้แล้ว 100% โดยประเทศคู่ค้าของเขาสามารถตรวจสอบกลับได้จนถึงต้นทาง

ยุตินำเข้าข้าวโพด  ไม่ตอบโจทย์ แก้ฝุ่นพิษ

ประการที่ห้า : การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างยุตินำเข้าข้าวโพดเสียดื้อ ๆ ใครจะรับประกันได้ว่าประเทศเพื่อนบ้านจะหยุดเผา เพราะเขายังขายข้าวโพดให้เวียดนามและจีนได้ตลอดทั้งปี สมมุติว่าไทยไม่สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวโพดในประเทศอีก 3 ล้านตันตามมาตรฐาน GAP ได้ และยังยุติการนำเข้าจากแหล่งอื่นอีก ก็หมายความว่า ผลผลิตข้าวโพดไม่พอใช้ ประเทศไทยจะผลิตสินค้าปศุสัตว์ลดลงราว 30% กระทบเป็นลูกโซ่ให้ปริมาณอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค เกิดเป็นความไม่มั่นคงทางอาหารของประเทศไปเสียอีกซึ่งอันตรายมาก  เพราะนอกจากจะไม่แก้ปัญหาฝุ่นควันแล้ว ยังทำให้อาหารขาดแคลนและมีราคาแพงลิบ เดือดร้อนประชาชนคนไทยไปอีกยก

แนวทางแก้ปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีหลายปาร์ตี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ผู้ปลูก ผู้นำเข้า และ ผู้ใช้  ซึ่งจำเป็นต้องแก้พร้อม ๆ กันทั้งระบบ ซึ่งไม่ใช่เพียงอาณาเขตประเทศไทย แต่รวมถึงทุก ๆ ประเทศในอาเซียน

สิ่งที่เล่ามา น่าจะพอทำให้เห็นภาพใหญ่ได้พอสมควร  หากทุกภาคส่วนช่วยกันอย่างจริงใจ ศึกษาให้ลึกถึงแก่นแท้ของมัน เชื่อว่าจะช่วยให้ “ข้าวโพด” ตอบโจทย์การแก้ปัญหา PM2.5 ได้ดีกว่าแค่แนะให้ยุตินำเข้าเฉย ๆ ซึ่งไม่มีข้อดีใดๆ จากคำแนะนำนี้เลยแม้แต่นิดเดียว