ช่วงเปลี่ยนรัฐบาล การลงทุนประเทศชะงัก

04 มี.ค. 2566 | 01:00 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2566 | 14:32 น.

ช่วงเปลี่ยนรัฐบาล การลงทุนประเทศชะงัก บทบรรณาธิการ

ได้ฟังมุมมองของ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ มาพูดในงานเปิดตัวหลักสูตร WEALTH OF WISDOM : WOW#2 ในหัวข้อ “พลิกโอกาสตลาดทุนไทย 2023” มีความรู้สึกว่าในปี 2566 ประเทศไทย ยังต้องเผชิญภาวะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์หลักอย่างการส่งออกในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เริ่มสะดุดจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย คู่ค้าสำคัญสั่งซื้อสินค้าจากไทยลดลง
     
ประกอบกับต้องเผชิญกับความผันผวนของค่าเงินบาท ที่จะส่งผลต่อการคำนวณต้นทุน การตกลงซื้อขายสินค้าทำให้ยากต่อการตัดสินใจที่จะผลิตสินค้าออกมา
     
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด ยังมีนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบมายังไทย ที่ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และประชาชน จะต้องแบกรับภาระการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสถาบันทางการเงินตามมาอีก

ประกอบกับประเทศกำลังเข้าสู่หมวดการเลือกตั้ง จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้นักลงทุนลังเลที่จะตัดสินใจเข้ามาลงทุน เพื่อรอดูการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่น และตัดสินใจที่จะมาลงทุน
     
อีกทั้ง ภาคธุรกิจเห็นว่า ช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล จะส่งผลให้เกิดการชะงักของการลงทุนยาว จากการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ  

ที่สำคัญการที่แต่ละพรรคการเมือง ต่างงัดกลยุทธ์นำนโยบายประชานิยมมาหาเสียง ฟาดฟันกันเพื่อหวังคะแนนเสียงในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ การปรับเพิ่มเงินเดือน โดยไม่มีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการลดต้นทุน อย่างเช่น การลดค่าไฟฟ้าที่ปัจจุบันสูงกว่า 5 บาทต่อหน่วย ซึ่งสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจและสภาพการทางธุรกิจ 

ความอยู่รอดของผู้ประกอบการในการประคับประคองธุรกิจ จากต้นทุนรอบด้านที่ปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกัน จะเป็นปัจจัยที่อาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติได้ 

 

ในมุมมองของนักลงทุนเห็นว่า การกำหนดนโยบายที่จะออกมา ต้องมองด้านนโยบายระยะสั้น ให้ประชาชนก้าวข้ามความยากลำบากในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และ พักหนี้แล้ว ควรมองหานโยบายระยะยาว เช่น นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและหาแนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน 

รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ใช้ในการหาเสียง ควรเน้นมาตรการระยะกลางและระยะยาว ที่จะช่วยพัฒนาให้ประชาชน และธุรกิจมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ไม่ใช่มุ่งแต่นโยบายประชานิยม จนส่งผลให้ความสนใจของนักลงทุน ที่จะเข้ามาลงทุนลดลง หรือ ทำให้ประเทศเสียหายจากขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง