วัคซีนก้นขวดบุรีรัมย์ ‘เหลื่อมลํ้า’ สังคมไทย?

28 ก.ค. 2564 | 04:55 น.

วัคซีนก้นขวดบุรีรัมย์ ‘เหลื่อมลํ้า’ สังคมไทย? : รายงาน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,700 หน้า 12 วันที่ 29 - 31 กรกฎาคม 2564

ตำรวจบุรีรัมย์ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 3 ท่ามกลางความสงสัยได้ฉีดก่อน “บุคลากรทางการแพทย์” และ “ผู้ให้บริการด่านหน้า” ก่อนได้อย่างไร 

 

ทำให้เกิดความเคลือบแคลงว่า จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นถิ่นฐานเสียงของ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค และเป็น รมว. สาธารณสุข ด้วย จะเป็นจังหวัดที่ได้ฉีด “วัคซีนโควิด-19” เข็มที่ 3 ก่อนคนไทยอีกหลายล้านคนที่ยังไม่ได้แม้แต่จะฉีด “วัคซีนเข็มแรก” อีกแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

กรณีดังกล่าวเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น หลัง ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างถึงเฟซบุ๊ก สถานีตำรวจภูธรบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์  โพสต์เนื้อหาระบุว่า ตำรวจ บุรีรัมย์ 11 นาย ได้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ไปแล้ว ก่อนที่จะลบโพสต์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3  

 

บุรีรัมย์ฉีดวัคซีนเข็ม 3 

 

ศ.พิเศษ ธงทอง ระบุว่าเพียงแต่สงสัยว่า ...ถ้าเป็นข่าวปลอมก็บอกมาเลยนะครับ จะได้แก้ข่าวให้ แต่ถ้าเป็นข่าวจริง ก็ชวนให้ผมสงสัยอะไรต่อไปอีกเยอะ เป็นคนขี้สงสัยนี่ลำบากจริงๆ ครับ

 

ตามมติคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี(ครม.) กำหนดในระยะแรก ให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง ผู้สูงวัย ก่อน และให้กับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ในลำดับถัดไป

 

เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมตำรวจสภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จึงได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็น “บูสเตอร์” ก่อนบุคลากรทางการแพทย์ฯ ซึ่งยังฉีดได้ไม่ครบถ้วน  

 

สำหรับจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่อยู่ ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข รวมถึงเป็นบ้านเกิดของ นายเนวิน ชิดชอบ 

ถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตก่อนหน้านี้ว่า ได้รับจัดสรรวัคซีนโควิด-19 เป็นอันดับต้นๆ อยู่ในระดับที่สูงเทียบเท่าจังหวัดท่องเที่ยว และสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ นั่นคือ ยอดและอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ที่ 17% ขณะที่ยอดฉีดวัคซีนประเทศ ไทย ณ วันที่ 24 ก.ค. 2564 ยอดรวมทั้งสิ้น 15,741,818 โดส     

 

กรณีตำรวจบุรีรัย์ ได้รับการฉัดวัคซีน เข็ม 3 ทาง พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภาค 3) ได้ออกมาระบุว่า การฉีด “แอสตร้าเซนเนก้า” เข็มที่ 3 ของตำรวจสภ.บ้านใหม่ ได้รับการอนุเคราะห์จากสาธารณสุข(สสจ.) บุรีรัมย์ เนื่องจาก สสจ. บุรีรัมย์ เป็นหน่วยงานประสานรับมาจากกระทรวงสาธารณสุข ก่อนปันส่วนมาให้เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ด่านหน้ารับผู้ป่วยโควิดจากกรุงเทพฯ กลับมารักษาในภูมิลำเนา 

 

วัคซีนก้นขวดบุรีรัมย์ ‘เหลื่อมลํ้า’ สังคมไทย?

 

จัดสรรไม่เป็นธรรม

 

มีการตั้งข้อสังเกตจาก นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต ว่า บุรีรัมย์ คือเมืองหลวงของภูมิใจไทย แต่เมื่อคุณคุมกระทรวงสาธารณสุขหน้าที่คุณคือ การดูแลสุขภาพและป้องกันรักษาการเจ็บป่วยจากโรคร้ายให้แก่คนทั้งประเทศอย่างเท่าเทียม 

 

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราเห็นการจัดสรรวัคซีนที่ไม่เป็นธรรม ขนาดหน่วยงานวิชาการเช่น TDRI ยังทำวิจัยว่า บุรีรัมย์ ได้วัคซีนเป็นอันดับที่ 11 ของประเทศ ทั้งๆ ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อเกณฑ์รายได้จากการท่องเที่ยว เกณฑ์ GDP สูง หรือ เกณฑ์เป็นจังหวัดเร่งด่วนในแผน 

 

ข่าวล่าสุด เรื่องฉีดเข็มสาม AstraZeneca ให้แก่ตำรวจในอำเภอเล็กๆ อำเภอหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์ ในขณะที่คนไทยร้อยละ 85 แม้แต่เข็มหนึ่งยังไม่ได้ฉีด ยิ่งเป็นการตอกยํ้าว่า จังหวัดนี้อภิสิทธิ์เพียงไร และ การจัดสรรของกระทรวงถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้าไปแทรกแซงอย่างไม่มีเหตุผล

 

“อย่าโบ้ยว่า เป็นเรื่องคณะทำงานที่เป็นข้าราชการพิจารณากันเอง หรือ เป็นเรื่องของคณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัด หากการเมืองไม่สั่ง ไม่แทรก เขาไม่กล้าทำเรื่องทุเรศแบบนี้” นายสมชัย ระบุ 

 

รัฐบาลจะพัง

 

เช่นเดียวกับ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาเตือนว่า รัฐบาลจะพังกับ “วัคซีนก้นขวดบุรีรัมย์” 

 

นายนิพิฏฐ์ ระบุว่า ผู้บังคับการตำรวจบุรีรัมย์ พล.ต.ต. รุทธพล เนาวรัตน์ ชี้แจงว่า

 

1. ตำรวจเหล่านี้เป็นแนวหน้า ไปรับผู้ป่วยจากกทม. กลับมารักษาตัวที่บุรีรัมย์

 

และ 2. วัคซีนที่ฉีดเป็นวัคซีนก้นขวดที่เหลือ ไม่ได้ไปเบียดบังใคร เพราะปกติวัคซีนที่ฉีดจะมีเหลือก้นขวดอยู่ประมาณ 1-2 เข็ม จึงนำมาฉีดให้ตำรวจ

 

แต่หากไปดูภาพข่าวที่ พ.ต.อ.สุเอก ฉินธนทรัพย์ ผกก.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ขณะฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ปรากฏว่า พ.ต.อ.สุเอก บอกว่าท่าน เป็นคนประสานขอฉีดวัคซีนให้ตำรวจเอง (ไม่ได้บอกว่า ท่านขอฉีดวัคซีนก้นขวด) มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลดำเนินการฉีดให้ก็แสดงว่า ไม่ใช่ “วัคซีนก้นขวด” เหมือนที่ผู้การบุรีรัมย์ กล่าวแต่อย่างใด  

 

หากเป็นเช่นนั้น รัฐบาลและ กระทรวงสาธารณสุข ต้องชี้แจงแล้วว่า ตำรวจจังหวัดอื่นได้ฉีด “วัคซีนก้นขวด” เข็มที่ 3 กันบ้างแล้วหรือยัง หากยังแสดงว่ามีการเลือกปฏิบัติจริงๆ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตย การเลือกปฏิบัติ และ ความอยุติธรรม จะทำลายระบอบนี้ให้พังยับเยิน  

 

“ผมว่า หากท่านนายกรัฐมนตรีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจสิ่งแรกที่ท่านต้องทำ คือ ตอบคำถามเรื่อง “วัคซีนก้นขวดที่บุรีรัมย์” หากท่านตอบไม่ได้ ผมไม่อยากจะคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้นผมว่าเรื่องนี้น่ากลัวครับ สุดท้ายผมเกรงว่า รัฐบาลจะพังกับ“วัคซีนก้นขวด” นี่แหละ” 

 

กล่าวหาฆาตกรรมโดยรัฐ

 

นายนิพิฏฐ์ ยังระบุด้วยว่า ปกติเข็มที่ 3 เขาให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ก่อนไม่ใช่หรือ จากนั้นเขาจึงจะให้คนแก่และผู้มีโรคประจำตัว หากคนตาย 1 คน เพราะไม่ได้รับวัคซีนที่ควรได้ เพราะคุณเอาไปฉีดเป็นเข็มที่ 3 ให้ใครก็ไม่รู้ที่ ไม่ควรได้ เท่ากับคุณกำลังหยิบยื่นความตายให้กับประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง...

 

ใครก็ตามพรากวัคซีนเข็มแรกไปจากแขนของประชาชนแต่นำไปเสียบเป็นเข็มที่ 3 ให้กับแขนของคนที่ไม่ควรได้รับ ผม..ผม..กล่าวหาคุณว่า “คุณคือฆาตกร” หากคุณเป็นผู้ถืออำนาจแห่งรัฏฐาธิปัตย์ แล้วไปทำอย่างนี้ ผม กล่าวหาคุณว่า “เป็นการฆาตกรรมโดยรัฐ” 

 

“ผมอยากจับคุณไปขึ้นศาล ผมอยากทดสอบกระบวนการยุติธรรมของเมืองไทยจริงๆว่า จะคุ้มครองประชาชน หรือ คุ้มครองฆาตกร ผมถามรวมๆ อย่างนี้แหละ  ไม่ระบุว่าเป็นใครใครคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ตอบ ก็ตอบเอาเองก็แล้วกัน” นายนิพิฏฐ์ ระบุ

 

ร้องป.ป.ช.สอบ

 

เรื่อง “วัคซีนเข็ม 3” ที่เกิดขึ้นที่บุรีรัมย์ ทำให้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. เพราะมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ของการจัดสรรวัคซีนป้องกัน


โควิด ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นการตอกยํ้าข้อเท็จจริงที่ก่อนหน้านี้รายงานของทีดีอาร์ไอที่ระบุว่า 

 

“การกระจายวัคซีนบิดเบี้ยวไม่เป็นไปตามลำดับความสำคัญตามยุทธศาสตร์ ดังปรากฏว่า บางจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ มีการฉีดวัคซีนมากเป็นลำดับที่ 11 ของประเทศ ณ วันที่ 7 ก.ค. โดยมีการฉีดวัคซีนทั้งหมดประมาณ 3 แสนเข็ม หรือ คิด เป็น 19% ของประชากร 

 

แม้ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีการระบาดสูง ไม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวหลักและไม่อยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีความเร่งด่วนในการได้รับวัคซีนตามแผน ซึ่งกรณีดังกล่าวรมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีฐานที่มั่นทางการเมืองอยู่จ.บุรีรัมย์ ต้องมีคำตอบให้กับสังคมในเรื่องนี้”

 

นายศรีสุวรรณ ระบุด้วยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 27 ประกอบ มาตรา 47 โดยตรง อีกทั้งอาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามกฎหมาย ป.ป.ช.

 

จึงขอให้ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดบุคคลที่เกี่ยว ข้องทั้งหมด ที่สั่งการให้มีการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับตำรวจในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างของความไม่เป็นธรรม

 

เรื่องนี้ไม่รู้ว่า ป.ป.ช.จะสามารถเอาผิดได้หรือไม่ แต่สิ่งที่กำลังเห็นเกิดขึ้นคือ “ความเหลื่อมลํ้า” และ “ไม่เป็นธรรมในสังคม” ไม่เป็นธรรมกับประชาชนคนทั้งประเทศหรือไม่?...