สมถะ - วิปัสสนา ผลแห่งกัมมัฏฐาน

12 พ.ย. 2568 | 22:00 น.
อัปเดตล่าสุด :13 พ.ย. 2568 | 01:23 น.

สมถะ - วิปัสสนา ผลแห่งกัมมัฏฐาน คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ

ด้วยรูปภาษา คำว่า กรรมฐาน กับ กัมมัฏฐาน ในความหมายคือ สิ่งเดียวกัน เป็นการปฏิบัติการงานทางใจ เพื่อให้เกิดสติปัญญาทางธรรม หลายคนมีความเชื่อว่า สมถะการรวมจิตเป็นหนึ่งให้สงบ คือ วิธีการปฏิบัติ การฝึกจิตใจที่อาศัยสมาธิน้อยแต่ใช้ปัญญาครวญใคร่ให้มากคือวิปัสสนา แต่ตามความเป็น สมถะและวิปัสสนา ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติ แต่เป็นผลของการปฏิบัติกัมมัฏฐาน

ผู้คงแก่เรียนตลอดทั้งสายปฏิบัติบางท่านก็ยังเชื่อว่า สมถะและวิปัสสนาเป็นวิธีปฏิบัติมาเนินนานและก็สอนสืบกันมาตามความรู้แบบนั้น

จากประสบการณ์ ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมนั้น ต้องถามตัวเองก่อนว่า จะปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร ปรารถนาอะไร การปฏิบัติธรรมนั้นจะได้สมปรารถนา คนจำนวนไม่น้อยไม่เคยถามตัวเองว่า ปฎิบัติธรรมเพื่ออะไรแล้วก็ปฏิบัติไปเรื่อยเหมือนคนที่ไม่มีเป้าหมายถึงจุดหนึ่งก็จะเบื่อแล้วก็จะไม่มีความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้นเพราะจุดเริ่มต้นไม่ชัดเจน 

บางคนปรารถนาแค่ให้เกิดบุญกุศล
บางคนปฏิบัติธรรมเพื่อให้จิตใจสงบมีพลัง  
บางคนปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง 

เพราะธาตุทั้งหกได้มีการปรับเปลี่ยนให้เกิดความสมดุลย์มากขึ้นภายในร่างกาย

บางคน ปฏิบัติธรรม ปรารถนาให้หลุดพ้นจากภาวะกิเลสทั้งปวง

เมื่อเป้าหมายชัดเจนเราสามารถปฏิบัติได้ถูกแนวทางยิ่งขึ้น และใช้เวลาไม่นานในการปฏิบัติก็สามารถถึงเป้าหมายได้ถ้าเราจริงจังกับการปฏิบัตินั้น  

หากเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมของคุณนั้น มีเป้าหมายดังนี้
1. ปฏิบัติแค่ให้เกิดบุญกุศล
2. ปฏิบัติธรรมเพื่อให้จิตใจสงบมีพลัง  
3. ปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

วิธีการคือ ฝึกจิต ให้รวมเป็นหนึ่ง โดยดูลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกนั้นจะบริกรรมคำใดๆ ก็ได้ อาทิเช่น หายใจเข้าพุธหายใจออกโธ เป็นต้น ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในขณะปฎิบัติไม่ต้องเกร็งไม่ต้องคิดหวังผลใดๆ ทำไป อย่างต่อเนื่อง ความคิดจะค่อยๆ ถูกตัดออกทีละน้อยความรู้สึกปวดเจ็บเมื่อยล้าจะค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น เรียกว่า เวทนา เมื่อเวทนาดับลงจิตจะรวมตัวเป็นหนึ่งมากขึ้นมีกำลังมากขึ้นและสุดท้ายก็เข้าสู่องค์ฌานที่ 2 นี้เองเป็นผลของการปฎิบัติที่ชื่อว่า สมถะ แล้วจะเข้าถึงในเป้าหมายตามข้อ 1 ถึง 3  

แต่หากปรารถนาความหลุดพ้น  

วิธีปฏิบัติคือ ฝึกจิตให้ตื่นรู้กับปัจจุบัน แน่นอนเริ่มจากการดูลมหายใจเข้าออกเช่นกัน แต่ทว่าจะไม่ปล่อยจิตให้รวมตัวเป็นหนึ่งเข้าองค์ฌานใดๆ เมื่อฝึกไปถึงจิตเริ่มมีกำลังแล้ว ให้มาเดินจงกรม คือ อิริยาบทเลย เพื่อไม่ให้จิตเข้าสู่ภวังค์ของฌาน มาเคลื่อนไหวไปมา ทุกการเคลื่อนไหวให้เกิดสติทุกอริยาบท เมื่อเดินแล้วจิตรวมตัวจะเข้าฌานก็ให้หยุด นั่งนิ่งๆ เฉยๆ เอาความคิดทั้งหมดมาตามรู้ดูใจว่า รู้สึกอย่างไร ทุกข์หรือไม่ สงบสบายดีไหม โปร่งโล่งเบาไหม  

เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าถูกทางปฏิบัติแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมล็ดพันธุ์โพธิจะค่อยๆ เติบโต เราจะเข้าใจในทุกสรรพสิ่งเอง ธรรมต่างๆ จะค่อยๆ ปรากฏในใจเองโดยอาจแตกต่างจากคำในตำราสอน แตกต่างจากครูบาอาจารย์สอน เพราะว่า คนเรามีกรรมมาแตกต่างกัน มาปฏิบัติแล้วจะมาสัมผัสหรือมีความรู้สึกที่เหมือนกันนั้นเป็นไปได้ยาก   

เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ กระทั่งมีสติมีความรู้สึกตัวตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า ทุกการเคลื่อนไหว เหยียดคู้ใดๆ ของอวัยวะนั่นแหละ คือ วิปัสสนา ส่วนคำว่า รู้แจ้ง จะปรากฏขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องไปทำไปฝืนไปบังคับถึงเวลามาเองตามบุพกรรมของแต่ละคน

หวังใจว่าวิธีการนี้จะทำให้เข้าใจในการแสวงหาการปฏิบัติได้ชัดเจนยิ่งขึ้น กลับมาถามใจตัวเองกันว่าเราจะปฏิบัติเพื่ออะไร เมื่อได้คำตอบแล้วปฏิบัติให้ตรงแนวทาง เราก็จะไปถึงในสิ่งที่ปรารถนาในสักวันหนึ่ง