KEY
POINTS
ศาสนาพุทธในอินเดียกับศาสนาพุทธในประเทศไทยมีความเหมือน มีความต่างอยู่มากมายทั้งในแง่คติความเชื่อและประเพณีปฏิบัติ ศาสนาพุทธที่แตกต่างด้วยนิกายมีมากมายในอินเดีย ทั้งแบบเถรวาทเดิม ๆ แบบประเภทยึดมั่นถือมั่น ทั้งคำสอนดั้งเดิม พระธรรมวินัยดั้งเดิม ถือกันจนหน้ามืดบ้าเลือดถกเถียงกันคอเป็นเอ็นว่าที่ถูกต้องเถรวาทแบบนี้ ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่ใช่ อันนี้พระสงฆ์ถนัดนักแล
แต่ความเป็นศาสนาพุทธแบบมหายานกลับกันอย่างคนละมุม คือ ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามบริบทภูมิประเทศ สังคม วัฒนธรรม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สงบแบบไม่ร้อยรัดจำกัดจนการฝึกจิตตนเองเป็นทุกข์ด้วยความเครียด
"ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
นี่เป็นสิ่งที่พุทธศาสนามหายานท่องจำน้อมนำเอามาปฏิบัติ และสามารถผ่อนปรนทุกอย่างไปตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ออกนอกทางแห่งความเป็นพรหมจรรย์ในข้อหลักใหญ่
ผมเชื่อเสมอว่า พุทธศาสนาแบบมหายาน เป็นไปเพื่อผ่อนคลายความเครียดความทุกข์แบบไร้รูปแบบ และระเบียบแบบแผนมาร้อยรัดมากเกินไป จึงทำให้ได้รับความนิยมจากผู้ที่มาใหม่ จากศาสนาอื่น ชาวยุโรป ชาวอเมริกา จึงมีความนิยมในการเรียนรู้ฝึกฝนตามคติพุทธมหายานมากกว่าเถรวาทเมื่อนับจำนวนเปรียบเทียบ ยิ่งมีข่าวเสียหายเรื่องพระเกี่ยวกับสตรีและสตางค์ในประเทศไทย ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจในพุทธแบบมหายานมากขึ้น เพราะสายนั้นเรื่องสตรีและสตางค์ไม่ค่อยมีเป็นข่าวเป็นประเด็น
การฝึกตนด้วยการบีบคั้น ร้อยรัดด้วยวิธีการมากมายที่จำกัด แลดูฝืนความเป็นธรรมชาติ ถ้ามากเกินไปก็ใช่ทางสายกลาง ทางมหายานจึงเน้นการปฏิบัติที่เหมาะสมแห่งภาวะความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ฝืน ไม่ร้อยรัด จนเกิดความทุกข์ความเครียดใด ๆ เพื่อการฝึกจิตที่ราบเรียบสงบง่าย
แต่เถรวาทมองว่า ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ คำสอนแท้ ๆ ดั่งเดิมจะไม่เหลือให้ศึกษา พุทธศาสนาจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จนไม่ปรากฏความดั้งเดิมความเข้าใจผิดจะทำให้ผิดเพี้ยนไปต่าง ๆ นานาได้ แค่คนร้อยคนเรียงแถว แล้วให้คนแรกพูดประโยคหนึ่ง แล้วส่งคำพูดต่อ ๆ กันไปกว่าจะไปถึงคนสุดท้ายประโยคนั้น ผิดเพี้ยนแน่นอนนับประสาอะไรการส่งต่อจากปากต่อปากที่ผ่านกาลเวลาแบบไม่ยึดจารีตประเพณีและตำรา ความผิดเพี้ยนมีหรือที่จะไม่ปรากฏ
ส่วนตัวเวลาปฏิบัติธรรม เพื่อให้จิตใจสงบนั้น ผมจะเน้นองค์ความรู้และวิธีปฏิบัติแบบมหายาน เพราะทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งสงบง่าย ไม่เคร่งเครียดแบบพร้อมบ้าบอ เห็นแสงเห็นสี ติดหล่มในสมาธิจนสถาปนาตนเป็นผู้วิเศษ มีพราย มีเทพมากระซิบ
แต่เวลาทำบุญจะยึดแบบประเพณีของเถรวาท เพราะดูเหมือนเป็นรูปแบบที่น่าศรัทธา อาทิ การถวายสังฆทาน การตักบาตร การถวายกฐินทาน เป็นอริยะประเพณีที่สืบทอดมา และเป็นสิ่งที่ไม่ควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขใด ๆ แต่ทำแล้วไม่ยึดติดเรื่องอานิสงส์ จะได้บุญเท่าไหร่มากน้อยอะไร ทำเพื่อละความตระหนี่ ทำเพื่อรักษาประเพณี ทำเพื่อให้ใจรู้จักการสละออก ทำเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาคิดแค่นี้ก็ปลื้มปีติ
การปฏิบัติแนวมหายาน แบบสากลนั้น จะไม่มีรูปแบบมากำหนด ทุกอย่างอาศัยธรรมชาติแห่งปัจเจกบุคคล เรานั่งท่านี้แล้วสงบก็นั่ง เรานั่งมองอากาศแล้วใจสงบก็ทำ เรานั่งนิ่ง ๆ ริมน้ำแล้วสงบก็ทำ เพียงแค่นี้ ไม่มีพิธีรีตองใด ๆ ให้ยุ่งยาก
เน้นให้ใจเรียนรู้ความเป็นไปตามที่ใจต้องพบเจอเป็นประสบการณ์ในการปฏิบัติ ระหว่างปฏิบัติต้องพบเจออะไรแต่ละคนต่างกันจะไม่เหมือนกัน ถ้าต้องพบเจอสิ่งเดียวกันเหมือนกันเป็นรูปแบบ นั่นเรียกว่า มายาจิต เป็นการแอบสร้างขึ้นโดยอุปาทานขันธ์แบบไม่รู้ตัว
สำนักปฏิบัติในรูปแบบเถรวาทมีเยอะ.. ที่ผู้ปฏิบัติต้องรู้สึกแบบนี้เป็นแบบนั้น จึงจะปฏิบัติถูกต้อง อันนี้ขอค้าน.. เพราะคนเราบุญกุศลแต่ละคนยังไม่เท่ากัน มาปฏิบัติแล้วจะเห็นหรือรู้สึกเหมือนกันเป็นไปได้อย่างไร ถ้ารู้สึกเหมือนกันนั่นคือ มายาจิต เป็นอุปาทานขันธ์สร้างขึ้นแน่นอน
บางคนเกิดปีติในธรรม ด้วยขนลุกขนพอง บางคนเกิดปีติด้วยน้ำตาไหลไม่หยุด บางคนเกิดปีติด้วยอาการอิ่มเอิบทั้งกาย แค่ปีติของแต่ละคนยังไม่เหมือนกันเลย
เขียนมาเพื่อให้เห็นความต่าง เขียนมาเพื่อให้เปิดใจยอมรับความแตกต่าง เมื่อใจยอมรับความต่างได้ ย่อมจะเข้าถึงความจริงทั้งปวงได้ เพราะแค่เปลี่ยนที่ใจ โลกทั้งใบก็เปลี่ยนตาม