KEY
POINTS
มีความพยายาม สร้างคอนเทนต์ใหม่ คล้ายยากล่อมประสาทผู้คน ว่าการศึกษาธรรมะควรฟังแต่คำสอนของพระตถาคต ไม่ให้ฟังคำของพระสาวก
พระตถาคต อันที่จริงประโยคนี้ เป็นประโยคที่พระพุทธเจ้าทรงใช้แทนพระนามของพระองค์เอง เวลาสนทนาธรรมกับเทวดา กษัตริย์ มนุษย์ ฯลฯ ไม่ใช้นามแทนพระองค์ว่า อาตมา แบบพระสาวก แต่จะแทนพระองค์ว่า ตถาคต
แต่เรา ๆ ท่าน ๆ ควรเอ่ยพระนามท่านว่า พระพุทธเจ้า/ พุทธะ/ พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นต้น มากกว่าไปเอ่ยว่า พระตถาคต
เมื่อสืบถามรวมความ.. มักจะกล่าวอ้างว่า เหตุที่ไม่ให้ฟังคำพระสาวกเพราะเป็นคำแต่งใหม่... ใครต่อใครถามก็อ้างเหตุผลนี้เหตุผลเดียว.. เป็นคาถากันคนมาเถียง...
จะหยิบมาเล่าให้ฟังว่า... พระสารีบุตร บรรลุธรรมเป็นโสดาบันได้ก่อนออกบวชเพราะฟังคำพระสาวก... กลัวพระสงฆ์บางสำนักแถวปทุมธานี จะลืมขอเล่าย้อน ดังนี้
อุปติสสะ ฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ ผู้เป็นพระสาวก นามนี้เป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ ความว่า
ท่านกล่าวบทอันลึกซึ้งละเอียดทุกอย่าง เป็นเครื่องฆ่าลูกศร คือ ตัณหา เป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ทั้งมวล ว่าธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสอย่างนี้
ฟังจบแล้ว อุปติสสะ ได้เป็นอริยบุคคลเบื้องต้น คือ โสดาบัน ต่อมาเมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วได้ออกบวชเป็นพระภิกษุ จึงมีนามว่า พระสารีบุตร และได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศด้วยปัญญาอันยิ่ง ปัญญาของพระสารีบุตรนั้นอุปมาอุปไมยได้ว่า แม้ฝนตกลงมาจากฟากฟ้า ด้วยสติปัญญานั้น สามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาได้ครบไม่ขาดหายเลยสักเม็ดหนึ่ง
ในอานันทสูตร พระอานนท์กล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่าท่านบรรลุธรรมเพราะได้ฟังธรรมจากพระปุณณมันตานีบุตร ซึ่งมีใจความว่า เพราะบุคคลยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จึงเกิดตัณหา มานะ และทิฏฐิว่า "เรามี" เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จึงไม่เกิดตัณหา มานะ และทิฏฐิว่า "เรามี" เมื่อบุคคลเข้าใจว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยงแล้วจึงจบกิจได้
นี่คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแล้วว่า การฟังธรรมจากพระสาวก ก็สามารถบรรลุธรรมได้ แม้จะเพียงขั้นเบื้องต้นอย่าง โสดาบัน ก็ตาม ดังนั้น คติที่กล่าวว่า ไม่ควรฟังธรรม คำสอนของพระสาวก ไม่ว่าจะคำสอนของพระรูปใด ๆ ก็ตามไม่ควรฟัง นั้นเป็นมายาคติทางจิตวิญญาณหลอนอย่างหนึ่ง ที่คิดเองเข้าใจเอง แต่หาใช่ความจริงไม่...
คำของพระสาวกทั้งหลายจากรุ่นสู่รุ่นก็มีคุณูปการต่อพระสงฆ์พระพุทธศาสนาไม่น้อยทีเดียวเช่นกัน ทำให้เรื่องบางเรื่องที่ยากกลายเป็นภาษาสื่อสารที่ง่ายขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น
การมุ่งเน้นฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ดี แต่พระพุทธองค์เองก็มิเคยห้ามศาสนิกชนฟังคำของพระสาวกเลย... ดังนั้นหากจะกล่าวอ้างว่า ไม่ควรฟังคำสาวก นั่นย่อมหมายความว่า คำสอนพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ทั่วโลกต้องใช้ฉบับเดียวกัน สำนวนเดียวกันหมดซึ่งในความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
เพียงแค่ของพุทธศาสนาในสายมหายาน ก็มีสำนวนที่แตกต่างจากของเถรวาทไปไหนต่อไหน ทั้งข้อวัตรปฏิบัติก็แตกต่างกัน
ผู้ที่ชอบเผยแพร่ว่า ห้ามฟังคำสาวก เชื่อฟังคำสาวก ควรหันกลับมาพิจารณาตนเองก่อนว่า ตนเองเป็นใคร... รึในใจคิดได้เพียงแค่อย่างเดียวว่า... ถ้าใครเชื่อตาม.. คนนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ ใครไม่เชื่อตาม.. คนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
พระรูปใดมีแนวคิดเช่นนี้ต่อสาธุชนคนทั้งหลายเมื่อไหร่ ความอันตรายในธรรมกำลังมาเยือนพระสงฆ์รูปนั้นแลในไม่ช้าแล...