แฉขบวนการเปิดวิบากกรรม

17 พ.ค. 2566 | 20:30 น.

คอลัมน์ ทำมาธรรมะ แฉขบวนการเปิดวิบากกรรม โดย ราชรามัญ

การฝึกกรรมฐาน มี 2 รูปแบบ

รูปแบบแรกที่เน้นสติเป็นฐาน เน้นสัมปชัญญะเป็นฐาน แต่ไม่ได้เน้นสมาธิเป็นฐาน

กรรมฐานแบบนี้ผู้ที่ฝึกจะมีการรับรู้อยู่กับปัจจุบันอย่างรวดเร็วว่องไว จะมีอารมณ์สมาธิน้อย ไม่จมไปในอารมณ์ของสมาธิที่เป็นองค์ฌาน กรรมฐานแบบนี้ก็เหมาะสมกับคนที่ทำการงานยังอยู่ทางโลก แต่พึงปรารถนาเรียนรู้ศึกษาทางธรรม ด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน ที่เน้นสติสัมปชัญญะแต่ไม่เน้นองค์สมาธิจนเกิดฌานนั้น จะมีภาวะอารมณ์อยู่กับปัจจุบัน แต่จะหาอะไรที่เป็นองค์คุณพิเศษที่เกี่ยวกับเรื่องนอกเหตุเหนือผล อาทิ เรื่องวิบากกรรมหรือเรื่องอดีตชาติจะไม่ค่อยปรากฏ จะมีความสุขแบบแห้งๆ สงบแบบแห้งๆ นิ่งๆ เรื่อยๆ ต่างจากกรรมฐานแบบสมาธิที่มีองค์ฌาน

กรรมฐานแบบที่ 2 เป็นกรรมฐานที่พึงอาศัยพลังสมาธิ ที่ทำให้เกิดองค์ฌานตั้งแต่ชั้นที่ 1 ไปจนถึงฌานที่ 4

กรรมฐานแบบนี้จะมีความเป็นพิเศษต่างๆ ให้เราได้เรียนรู้อย่างน่าตื่นเต้น มีทั้งปิติ ความสุข หรือตลอดทางด้วยเรียนรู้เรื่องของนิมิต ที่ปรากฏอยู่ในองค์ฌาน คล้ายกับเราดูหนังผ่านองค์ฌานนั่นเอง นอกจากนี้ เมื่อถึงจุดหนึ่งยังสามารถเปิดวิบากกรรมของตัวเราเองได้ เน้นย้ำนะครับว่าวิบากกรรมของตัวเราเอง ไม่ใช่ไปเปิดวิบากกรรมของผู้อื่น

นักปฏิบัติธรรม ไม่ว่าพระนักบวช หรือคนไหนก็ตามที่ฝึกกรรมฐานสมาธิได้องค์ฌาน และเที่ยวโพนทะนาว่าไปเปิดวิบากกรรมของผู้อื่นได้นั้น ร้อยทั้งร้อยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากอุปาทานขันธ์คือคิดเอาเอง มโนเอาเอง สร้างความสำคัญให้แก่ตนขึ้นมาเอง อาทิ รู้ว่าคนนั้นเคยเป็นทหารเอกของพระเจ้าองค์นี้ คนนั้นเคยเป็นนักรบอยู่ตรงนี้ นักปฏิบัติธรรมที่พูดจาแบบนี้ร้อยทั้งร้อยมาจากอารมณ์ปรุงแต่งของตัวเองทั้งสิ้น

เพราะถ้าเราเชื่อวิบากกรรมตามที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน คือเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลตนย่อมรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น บุคคลอื่นจะมาก้าวรู้มิได้ แต่ผู้ที่จะรู้กรรมของผู้อื่นได้นั้น มีเพียงผู้เดียวก็คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่เป็นพระศาสดา

แต่ถ้าเราเจอบุคคลธรรมดาทั่วไป อ้างว่ารู้วิบากกรรมคนนั้น คนนี้ คนนู้น จงรีบใส่รองเท้าแล้วก็เคาะเอาเศษดิน เศษหินใต้รองเท้าออก แล้วรีบเดินออกจากจุดนั้น ร้อยทั้งร้อยไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง 

ผู้ที่จะเห็นวิบากกรรมของตนเองได้ก็คือ ตัวเขาเอง ปฏิบัติเอง การฝึกกรรมฐานที่พึงอาศัยสมาธิและองค์ฌาน เป็นวิหารธรรมหรือเครื่องอยู่ยึดเหนี่ยวจิตใจนั้น เมื่อถึงระดับหนึ่งในฌานที่ 4 จะสามารถเปิดวิบากกรรมของตัวเองได้ รู้แจ้งเห็นจริงว่าตนเองนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรจากอดีตชาติ แต่ทว่าสามารถย้อนได้เพียงแค่ชาติเดียว ชาติก่อนที่เราจะมาเกิดในปัจจุบันนี้เท่านั้น

ประโยชน์ของการเปิดวิบากกรรม เพียงแค่ให้ผู้ปฏิบัตินั้นสำนึก ตระหนักรู้ว่ากุศลกรรมมีจริง อกุศลกรรมมีจริง เพียงเท่านั้น ที่เป็นประโยชน์ต่อการเปิดวิบากกรรม แต่ถ้าใครบางคนเปิดวิบากกรรมแล้วน้อมจิตน้อมใจเข้าไปยึดติดในอดีตที่ตนเองเคยเป็น ก็ย่อมหาเกิดประโยชน์ใดๆ กับการที่เปิดวิบากกรรมขึ้น เพราะนั่นเป็นการเข้าไปยึดติดยิ่งทำให้เกิดความทุกข์ ผิดซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกเช่นกัน 

การรู้วิบากกรรมของตัวเอง รู้เพื่อรู้ และปล่อยวาง ไม่ใช่รู้แล้วเข้าไปยึดติดว่าอดีตชาติฉันเคยเป็นนั่น เคยเป็นนี่ ใครก็ตามถ้าเปิดวิบากกรรมได้จริงเขาจะเป็นคนที่นิ่งๆ แล้วไม่แพร่งพรายวิบากกรรมของเขาให้ผู้ใดทราบเพราะมิได้ต้องการประโยชน์โพดผลใดๆ จากการรู้วิบากกรรมของตัวเอง

แต่ถ้าผู้ใดอ้างว่า สามารถเปิดวิบากกรรมของตัวเองได้ แล้วแพ่งพายให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเองเป็นใครจากอดีตชาตินั้น ร้อยทั้งร้อยนั่นคือเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้น หรือไม่ก็เป็นเรื่องราวที่เกิดจากอุปาทานขันธ์หาใช่วิบากกรรมอันแท้จริง เพราะวิบากกรรมอันแท้จริง ถ้าผู้ใดเปิดได้ย่อมไม่แพร่งพราย โดยธรรมชาติขององค์สมาธิจะเป็นเช่นนั้น

เขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อเตือนสติผู้ที่สนใจเรื่องวิบากกรรม เพราะหลายคนเสียเงินเสียทองกับการที่ไปร้องขอให้นักบวชบางคน บางท่าน เปิดวิบากกรรมให้ ด้วยความอยากรู้ว่าตนมีวิบากกรรมอะไรยังไงมา ชีวิตจึงไม่ดีเสียทีเชื่อไหมว่าจำนวนไม่น้อย มักจะถูกกล่าวอ้างว่าสิ่งนี้ที่เจ้าเป็นเพราะกรรมที่เคยทำแท้งเป็นต้น  

ดังนั้น เราเป็นชาวพุทธจงมีสติ จงมีความรอบรู้ เกี่ยวกับเรื่องธรรมะที่ถูกต้อง คำสอนที่ถูกต้อง แล้วเราจะไม่ตกเป็นเหยื่ออันโอชะของบุคคลที่ชอบอ้างตน เป็นผู้วิเศษสามารถเปิดกรรมคนนั้น คนนี้ได้ กรรมเป็นเรื่องของ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือวิญญูชนรู้ได้เฉพาะตน กรรมของผู้ใดของคนนั้น

ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้ได้ด้วยตนเองมิใช่ให้ผู้ใดใครมาบอก