การภาวนาสมาธิ ไม่ใช่ของพุทธศาสนา

23 ส.ค. 2566 | 20:36 น.

การภาวนาสมาธิ ไม่ใช่ของพุทธศาสนา ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ

หลายคนมักมีความเข้าใจว่าการนั่งภาวนาสมาธินั้นเป็นของพุทธศาสนา โดยที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วนำไปสู่เป็นวิธีการรูปแบบเพื่อต้องการให้ได้ผลลัพธ์ดับทุกข์หลุดพ้น
การที่มีแนวคิดแบบนี้ ต้องบอกว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เป็นการเรียนรู้พุทธศาสนาแบบงูๆ ปลาๆ และเป็นการเรียนรู้แบบ สุดโต่งก็ว่าได้

ถ้าเราเปิดใจเพื่อเรียนรู้จริงๆ จะเห็นได้ว่าสำนักต่างๆ ลัทธิต่างๆ รวมไปถึงพราหมณ์ด้วยต่างก็มีวิธีการภาวนาสมาธิด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งสำนักและลัทธิเหล่านั้นเกิดขึ้นก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ 

ถ้าจะพูดแบบเป็นกลางมองแบบเป็นธรรมควรกล่าวว่า....การฝึกภาวนาสมาธินั้น เป็นบาทฐานแรกที่สำคัญในการที่จะต่อยอดเรียนรู้ทางด้านจิตวิญญาณในแขนงต่างๆ ต่อไป 

ในสมัยก่อนพุทธกาลบางสำนัก บางลัทธิ ก่อนนั่งเพ่งดิน นั่งมองน้ำ นั่งดูไฟ นั่งลืมตา นั่งกัดฟัน แต่ไม่มีสำนักไหนเลยที่มีการนั่งภาวนาสมาธิโดยเจริญอานาปานัสสติ คือตามดูลมหายใจเข้าลมหายใจออก ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเทคนิคที่บอกได้ว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงปฏิบัติจนสามารถได้ผลลัพธ์ คือการดับทุกข์หลุดพ้น 

ดังนั้นการภาวนาสมาธิเป็นของธรรมชาติมนุษย์โดยทั่วไป แต่การภาวนาสมาธิแบบอานาปานัสสติเป็นการนั่งภาวนาสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นเทคนิคนี้ขึ้นมา 

แต่ไม่ว่าการภาวนาสมาธิจะด้วยรูปแบบและวิธีการใดๆ ก็ตาม สิ่งที่นักปฏิบัติจะได้ผลลัพธ์ทันทีต่อการฝึกก็คือคลายความเครียดคลายความกังวล และคลายความย้ำนึกยั้งคิด ในจิตวิญญาณจึงทำให้นักภาวนาสมาธิหลายๆ คนมีใบหน้าที่ผ่องใสมีความอิ่มเอิบปีติสุขในใจอยู่เสมอ

การภาวนาสมาธินั้นเมื่อ ถึงจุดหนึ่งพลังของสมาธิมีมากมายสามารถน้อมนำเอาไปทำสิ่งต่างๆ ได้ อาทิ ถ้าเราคิดถึงใครสักคนพลังสมาธินั้นจะแปลพลังแล้ววิ่งเป็นคลื่นไปหาบุคคลที่เราคิดถึงแล้วก็ทำให้เขาคิดถึงเรา 

บางคนอาศัยพลังของสมาธินั้น มารักษาโรคต่างๆ ในร่างกายด้วยการน้อมพลังนั้นเข้าไปบำบัดเซลล์ต่างๆ ที่เสีย อวัยวะต่างๆ ที่บกพร่อง โดยมิต้องผ่านการกินยาหรือผ่าตัดใดๆ ซึ่งก็มีบุคคลที่ทำแล้วได้ผลดีจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงอาทิ โรคมะเร็ง 

บางคนอาศัยพลังจากการภาวนาสมาธิที่มีนั้น เข้าไปน้อมจิตให้เกิดอิทธิฤทธิ์มากมายหรือเล่นกับภาพมายาจิตหรือศัพท์ทางเทคนิคเขาเรียกว่ามายาศาสตร์ คือการใช้พลังจิตไปเล่นเป็นฤทธิ์ทำให้ช้อนงอได้ ทำให้ไม่ขีดติดไฟได้ เป็นต้น 

แต่ในทางกลับกันการภาวนาสมาธิทางพุทธศาสนานั้น เมื่อจิตสงบปีติอิ่มเอิบเบิกบานนั่นแหละ ทำให้ใจเป็นกุศลคำว่ากุศลในที่นี้ก็เป็นพลังพิเศษอย่างหนึ่งเหมือนกับพลังการภาวนสมาธิตามที่กล่าว เพียงแต่น้อมพลังนั้นไปสู่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว บ้างไปสู่เทพเทวดา บ้างไปสู่เปรตวิสัยบ้าง ไปสู่อสุรกายบ้างแล้วเรียกสิ่งนี้ว่าแผ่กุศล 

ดังนั้นถ้ามีความเข้าใจตามนี้แล้วหากมีความสนใจในการฝึกปฏิบัติภาวนาสมาธิก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราจะฝึกไปเพื่อต้องการผลลัพธ์แบบไหน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการลงมือปฏิบัติเพราะถ้าไม่เข้าใจตามนี้การปฏิบัตินั้นก็จะล่องลอยไปเรื่อยสุดท้ายก็ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงผลลัพธ์ตามที่เราต้องการได้ เผลอๆ อาจจะทำให้เราไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติแล้วก็เบื่อหน่ายทิ้งการปฏิบัตินั้นไป  

การภาวนาสมาธิไม่ว่าจะทำในรูปแบบวิธีการใดก็ตาม ที่อยู่ในโหมดอานาปานัสสติกล่าวคือจะมีคำบริกรรมพุทโธหรือไม่มีคำบริกรรมใดๆ ก็สุดแท้แต่ขอเพียงให้จิตใจสงบราบรื่นมีปีติสุขในขณะปัจจุบัน มีความสงบเกิดขึ้นนั่นแหละย่อมเป็นกุศลทั้งปวงเช่นเดียวกัน