ผู้บาดเจ็บจากหุ้น STARK

07 มิ.ย. 2566 | 02:15 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ ผู้บาดเจ็บจากหุ้น STARK โดย...เจ๊เมาธ์

*** การกลับมาซื้อขายหุ้นชั่วคราวในวันแรกของ STARK ในวันแรก ราคาหุ้นร่วงจากราคา 2.38 บาท ลงมาเหลือเพียง 0.18 บาท ปรับลดลง 92.44 บาท คิดเป็น 92.44%  หมายความว่า ใครก็ตามที่มีหุ้น STARK ในมูลค่า 100 บาท เมื่อสิ้นสุดวันแรกที่ STARK กลับมาซื้อขาย จะเหลือเงินเพียง 7.56 บาท เท่านั้น รอบนี้ผู้เสียหายจากมูลค่าหุ้นที่หายไปไม่ได้มีเพียงนักลงทุนรายย่อยที่มีจำนวนทั้งสิ้น 9,613 ราย แต่นักลงทุนที่จุกหนักมากที่สุดน่าจะเป็นบริษัทและกองทุนทั้งหลายที่ลงทุนใน STARK ไม่ว่าจะเป็น..
 
1.The Hongkong and Shanghai Banking Corporation Limited ขาดทุนไป 1,249.6 ล้าน
 
2.บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด ขาดทุนไป 1,132.8 ล้าน

3.บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ขาดทุนไป 951.6 ล้าน
 
4.บริษัท เอสซีบี แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด ขาดทุนไป 664.2 ล้าน
 
5.Credit Suisse (Singapore) Limited ขาดทุนไป 263.3 ล้าน
 
6. UOB Key Hian Private Limited ขาดทุนไป 207 ล้าน

7.บริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ขาดทุนไป 190.3 ล้าน
 
8.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ขาดทุนไป 180.5 ล้าน
 
9.บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ขาดทุนไป 166.4 ล้าน
 
10. บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขาดทุนไป 106.2 ล้าน
 
11.บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ขาดทุนไป 102.6 ล้าน
 
12. บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด ขาดทุนไป 115 ล้าน
  
กองทุนที่ว่ามาทั้งหมดนี้ขาดทุนรวมกันมากกว่า 5,000 ล้านบาท จากเงินลงทุน 5,500 ล้านบาท นั่นก็หมายความว่า กองทุนเหล่านี้หลงเหลือเงินจากการลงทุนกับ STARK แค่ราวๆ 500 เท่านั้นเอง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

*** ขณะที่ บลจ.บัวหลวง (BBLAM) ชี้แจงถึงการลงทุน ตราสารหนี้ และ ตราสารทุน ของ STARK ว่า กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น STARK มี 4 กองทุน ถือหุ้นในสัดส่วนเพียง 0.4%-0.6% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของแต่ละกองทุนเท่านั้น  
 
บัวหลวงตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (BERMF) ขนาดกองทุน 12,441.16 ล้านบาท ลงทุนไป 0.6% ของขนาดกองทุนเท่ากับ 74.64 ล้านบาท
 
บัวหลวงหุ้นระยะยาว (B-LTF) ขนาดกองทุน 45,057.31  ล้านบาท ลงทุน 0.6 % เท่ากับ 270.34 ล้านบาท
 
บัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (BFLRMF) ขนาดกองทุน 21,700.67 ล้านบาท ลงทุนไป 0.5% เท่ากับ 108.5 ล้านบาท
 
บัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25 (BLTF75)ขนาดกองทุน 24,909.68  ล้านบาท ลงทุนไป 0.4% เท่ากับ 99.63 ล้านบาท
 
รวม 4 กองทุนลงทุนในหุ้น STARK แค่ 553.11 ล้านบาท…แต่ความเสียหายนั้น คือ ผู้ซื้อกองทุนทุกคน
  
*** เจ๊เมาธ์ขอพูดถึง MPIC อีกสักครั้ง ก่อนที่กระแสหุ้นตัวนี้จะจางหายไป พร้อมกับราคาที่มีแนวโน้มว่า จะกลับไปอยู่ในจุดเดิมที่เคย นั่นก็เพราะการที่ “ขันเงิน เนื้อนวล” หรือ “ขันเงิน วงไทยเทเนียม” แร็ปเปอร์ชื่อดังสามารถเจรจาเพื่อเข้าไปซื้อ MPIC ได้ง่ายๆ ในราคาหุ้นละ 0.54 บาท ทั้งที่ตลอด 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นเคยลงไปแตะจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1.40 บาท ขณะที่ตอนนั้นราคาหุ้นหน้ากระดานอยู่ที่ราคา 1.50-1.60 บาท อยู่สูงกว่าราคาเหมาเข่ง 0.54 บาท ที่แร็ปเปอร์รายนี้ซื้อมาถึงบาทกว่าๆ นั้นหมายความว่า...
  
ไม่ว่าจะเป็นในส่วนตัวของ “ขันเงิน” หรือแม้แต่อาจจะมีบุคคลอื่นที่ดูแลขันเงินอีกก็ตาม คนเหล่านี้จะมีต้นทุนที่ต่ำมาก เสียจนไม่ว่าจะขายหุ้นที่ได้มาในราคาใดก็ตาม ก็ได้กำไรแบบเต็มไม้เต็มมือ เพียงแค่ว่าจะขายหรือไม่เท่านั้นเอง!
 
ประเด็นก็คือ เหตุผลใดที่ทำให้เจ้าของหุ้นรายเดิมยอมขายในราคาต่ำเหมือนให้เปล่า ทั้งๆ ที่บริษัทมีพื้นฐานที่ไม่แย่เกินไป และทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ถ้าขายเอง...ไม่ว่าขายที่ราคาเท่าใด ก็จะมีกำไรเข้ากระเป๋าตัวเองโดยไม่จำเป็นจะต้องแบ่งให้คนอื่น แต่ทำไมถึงยอมขายทิ้งในราคาถูก รวมไปถึงการจุดพลุดันราคาเพื่อดึงดูดแมงเม่า ทั้งๆ ที่โดยปกตินักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ยุ่งเมื่อรู้ว่า ทุนเจ้าต่ำแบบนี้ เอ...หรือว่า...นี่จะเป็นแค่เกมหรือเป็นแผนในการสร้างสตอรี่ ในการดันราคาที่ไม่มีอะไรเพื่อเอาเล่นรอบหาเงินเพียงกันแน่ ไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ เจ๊เมาธ์แค่สงสัยเท่านี้เองค่ะ

*** จังหวะนี้ถือว่า BANPU เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่ง ที่ถึงราคาสวิงอยู่ตลอดเวลา แต่เจ๊เมาธ์ก็ยังมองว่า น่าสนใจ แน่นอน แม้ว่าค่า P/E อาจจะไม่สามารถชี้วัดอะไรได้ทั้งหมด แต่การมีค่า P/E ที่ยังต่ำอยู่มากของหุ้นตัวนี้ ก็ทำให้เจ๊เมาธ์ต้องคอยหันมองดูอยู่เรื่อยๆ เพราะอย่างน้อยที่สุดการที่มีค่า P/E เพียง 2 เท่านิดๆ แบบนี้ก็ทำให้มองเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ได้พอสมควร 
 
ล่าสุดวันที่ 28 เม.ย. 66 มีปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.75 บาท/หุ้น ถือว่าสูงพอสมควร และยังเป็นอีกหนึ่งในข้อดีที่ทำให้การถือหุ้นตัวนี้ในระยะยาวอย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกมาตลอด อย่างไรก็ตาม หุ้นที่คาดการณ์ในอนาคตได้ง่ายๆ มักจะเป็นหุ้นที่ไม่มีเสน่ห์เท่าไหร่ เพียงแต่ถ้าไม่คิดมากเกินไปก็ถือว่าหุ้นอย่าง BANPU เป็นได้ทั้งหุ้นปันผลและหุ้นหลุมหลบภัยที่ไม่แย่จนเกินไปอย่างแน่นอน
 
*** หากว่าหุ้นอย่าง JMT มีชีวิตเหมือนคนขึ้นมาจริงก็คงจะเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทแม่ หรือแม้แต่บริษัทในเครือเดียวกันยังต้องอาศัยใบบุญมาตลอด แต่ล่าสุดพอมีข่าวว่า JMT อาจหลุดออกจากดัชนี SET50 ก็ไม่ได้มีแค่ JMT เพียงตัวเดียวที่ราคาหุ้นปรับร่วงลงเนื่องจาก JMART ซึ่งเป็นหุ้นแม่ที่อาศัยผลการดำเนินงานของ JMT เข้ามาช่วยทำให้ผลการดำเนินงานดูดีมาตลอดก็มีท่าว่าจะหลุมออกจาก SET50 ไปด้วยในรอบเดียวกันนี้เอง 
 
และถึงแม้ JMT จะเป็นหุ้นที่ดีที่สุดในกลุ่ม J แต่ก็ไม่ได้ความว่า จะเป็นหุ้นที่ดีกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เพราะถึงขนาดที่ราคาหุ้นร่วงต่อเนื่องลงมานานขนาดนี้แต่ค่า P/E กลับยังสูงมากกว่า 30 เท่า นั่นก็หมายความว่า การที่ราคาหุ้นของ JMT อยู่สูงกว่าที่ควรจะเป็นมานานแล้วนั่นเอง 
 
เอาเป็นว่า อย่าไปคิดมากกับหุ้นเล่นรอบ เพราะไม่ว่าจะเป็นรอบใหญ่ขนาดไหน ท้ายที่สุดเมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง หุ้นเล่นรอบก็เป็นแบบนี้ ถ้าตัวนี้ไม่ดี...ตัวอื่นก็ยังมีให้เลือกอีกเต็มตลาดเจ้าค่ะ

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,894 วันที่ 8 - 10 มิถุนายน พ.ศ. 2566