สถาบันการเงินประชาชน: สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนด้วยธนาคารของตนเอง

19 พ.ค. 2568 | 11:00 น.

สถาบันการเงินประชาชน: ธนาคารของชุมชนที่ถูกกฎหมาย ยกระดับตามพ.ร.บ.ปี 2562 ดูแลเงินฝาก 373 ล้านบาท ให้บริการสินเชื่อดอกเบี้ยเป็นธรรม สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก

จากวิสัยทัศน์สู่ความเป็นจริง

หากย้อนกลับไปก่อนปี 2562 องค์กรการเงินชุมชนทั่วประเทศต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมาย ทั้งไม่มีสถานะทางกฎหมาย ขาดการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ ทำให้การดำเนินงานขาดประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ แม้จะเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการเงินระดับฐานรากของชุมชน

วันนี้ ภาพดังกล่าวกำลังเปลี่ยนไป ด้วยพระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. 2562 ที่ริเริ่มโดยกระทรวงการคลัง โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นหน่วยงานหลักในการผลักดัน เพื่อยกระดับองค์กรการเงินชุมชนให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล กลายเป็น "สถาบันการเงินประชาชน" หรือ "ธนาคารของชุมชน" อย่างเต็มตัว
 

ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

เมื่อชุมชนมีธนาคารของตนเอง

"สถาบันการเงินประชาชนถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้กับชุมชนฐานราก" ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าว "เราต้องการให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยมีกลไกทางการเงินที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเหมาะสม"

ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 มีสถาบันการเงินประชาชนที่ได้รับการจดทะเบียนแล้ว 25 แห่ง ครอบคลุม 16 จังหวัดทั่วประเทศ มีสมาชิกรวม 12,441 คน บริหารเงินฝากรวม 373.3 ล้านบาท และมียอดเงินกู้รวม 322.1 ล้านบาท ตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจของชุมชนที่มีต่อสถาบันการเงินของตนเอง
 

ระบบนิเวศที่ส่งเสริมความสำเร็จ

ความโดดเด่นของสถาบันการเงินประชาชนอยู่ที่การมีระบบสนับสนุนที่ครบวงจร โดยมี:

1. คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแนวทางการพัฒนา

2. ธนาคารผู้ประสานงาน ได้แก่ ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยง" ให้คำปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินงาน

3. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ควบคุมดูแลให้การดำเนินงานเป็นไปตามกฎหมาย

ระบบนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในชุมชนที่ฝากเงินหรือใช้บริการ ว่าเงินของพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างมีมาตรฐานและโปร่งใส
 

ประโยชน์ที่จับต้องได้

สถาบันการเงินประชาชนสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนในหลายมิติ:

สำหรับสมาชิกชุมชน:

  • เข้าถึงบริการทางการเงินในระบบได้สะดวก ไม่ต้องเดินทางไกล
  • ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ
  • มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถาบันการเงินของตนเอง
  • ได้รับการส่งเสริมด้านการออมและวินัยทางการเงิน

สำหรับองค์กรการเงินชุมชน:

  • ได้รับการยกระดับเป็นนิติบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ
  • มีระบบการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • ได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจากธนาคารผู้ประสานงาน
  • มีโอกาสเชื่อมโยงกับระบบการเงินในระดับที่สูงขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจฐานราก:

  • เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนภายในชุมชน
  • ลดการไหลออกของเงินทุนไปสู่ภายนอก
  • สร้างโอกาสในการพัฒนาอาชีพและธุรกิจในชุมชน
  • เสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น

 

ก้าวต่อไปสู่ความยั่งยืน

แม้จะประสบความสำเร็จในการจัดตั้งสถาบันการเงินประชาชนแล้ว 25 แห่ง แต่กระทรวงการคลังโดย สศค. ยังมีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับองค์กรการเงินชุมชนทั่วประเทศ การลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิงรุก และการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขแนวทางการกำกับดูแลให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของชุมชนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินประชาชน ธนาคารผู้ประสานงาน และนายทะเบียน เพื่อให้การดำเนินงานและการกำกับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

"เราเชื่อว่าการสร้างระบบการเงินที่เข้มแข็งในระดับชุมชน จะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ทั่วถึงและยั่งยืน" ดร.พรชัยกล่าวทิ้งท้าย

สถาบันการเงินประชาชนจึงไม่ใช่เพียงการยกระดับองค์กรการเงินชุมชนให้มีสถานะทางกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นการสร้างกลไกทางการเงินที่จะช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทั่วถึงและเป็นธรรมสำหรับประชาชนทุกคน