นางสาวพีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ธปท.ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งจำนวนมาก ทั้งการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน การคิดค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม การปรับโครงสร้างหนี้ไม่สอดคล้องกับรายได้ รวมถึงปัญหายอดหนี้ไม่ชัดเจน
แต่ไม่มีกฎหมายดูแลเป็นเฉพาะ มีเพียงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ที่ดูแลเรื่องสัญญา จึงเป็นเหตุให้ ธปท.เข้ามากำกับดูแลผ่านพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 หรือ พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ
“เป้าหมายคือยกระดับการให้บริการเช่าซื้อและลีสซิ่งให้มีมาตรฐาน เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และช่วยให้ ธปท.มีข้อมูลที่ดีขึ้น เพื่อนำไปดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ตรงจุด” นางสาวพีรจิตกล่าว
สำหรับพ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 โดย ธปท.ได้ออกหลักเกณฑ์กำกับดูแลทันที พร้อมเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้ามารายงานตัวผ่านเว็บไซต์ ปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามารายงานตัวแล้วกว่า 90% รายกลางมากกว่า 50% ขณะที่รายเล็กยังมีจำนวนไม่มาก โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องรายงานตัวภายในเดือนมีนาคม 2569 หากไม่ดำเนินการจะถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย
ทั้งนี้ การกำกับดูแลของ ธปท.จะครอบคลุมเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นนิติบุคคล โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าบุคคลธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองและความรู้ทางการเงินต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การกำกับดูแลครั้งนี้ไม่รวมสหกรณ์แท็กซี่ รถเพื่อการเกษตร รถบดถนน และรถพ่วง
สำหรับหลักเกณฑ์สำคัญ ธปท.กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจคิดดอกเบี้ย ค่าบริการ และค่าปรับอย่างเป็นธรรม ไม่ซ้ำซ้อน และเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจน โดยกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดา ได้แก่ รถยนต์ใหม่ไม่เกิน 10% ต่อปี รถยนต์ใช้แล้วไม่เกิน 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 23% ต่อปี ขณะที่ดอกเบี้ยผิดนัดชำระไม่เกิน 5% ต่อปี และคิดเฉพาะเงินต้นที่ค้างชำระ
นอกจากนี้ ยังกำหนดลำดับการตัดชำระหนี้ให้เป็นธรรม เริ่มจากค่าบริการ ดอกเบี้ย และเงินต้นของงวดค้างชำระที่เก่าที่สุด รวมถึงกำหนดให้ลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ปิดบัญชีก่อนกำหนดต้องได้รับส่วนลดดอกเบี้ยตามสัดส่วนการผ่อนชำระ
ธปท.ยังกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางการเงินอย่างรับผิดชอบ ตั้งแต่การโฆษณา การอธิบายเงื่อนไขสัญญา ไปจนถึงการช่วยเหลือลูกค้าที่เริ่มมีปัญหาการชำระหนี้ ก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย พร้อมคุมเข้มการใช้บริษัทภายนอก เช่น บริษัทติดตามทวงถามหนี้ โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อผู้บริโภคเสมือนดำเนินการเอง
นางสาวพีรจิตกล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งกว่า 3,000 รายเข้าสู่การกำกับของ ธปท. ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มรายเล็ก ขณะที่รายใหญ่และรายกลางรวมกันประมาณ 40 ราย แต่มีสัดส่วนยอดคงค้างสินเชื่อเกือบ 90% ของตลาด มูลค่าราว 1.5 ล้านล้านบาท
ในปี 2569 ธปท.จะเริ่มกำกับดูแลเชิงลึกมากขึ้น ทั้งการขอข้อมูลจากผู้ประกอบธุรกิจ การพิจารณาหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ และการดูแลพฤติกรรมทางการตลาด เพื่อป้องกันการปล่อยสินเชื่อเกินตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เสียและการยึดรถในอนาคต
“การกำกับดูแลครั้งนี้จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีมาตรฐาน ได้รับข้อมูลครบถ้วน ราคาและเงื่อนไขเป็นธรรม และมีช่องทางร้องเรียนเมื่อเกิดข้อพิพาท ขณะเดียวกันก็ช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนทำได้ตรงจุดมากขึ้น” นางสาวพีรจิตกล่าว