ESSO อาจไม่แกร่งอย่างที่คิด

12 พ.ค. 2566 | 01:30 น.

คอลัมเมาธ์ทุกอำเภอ ESSO อาจไม่แกร่งอย่างที่คิด โดย เจ๊เมาธ์

*** ในที่สุดก็เฉลยออกแล้วว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นของ OR ปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดได้ ก็เป็นเพราะกำไรในไตรมาส 1/66 ออกมาสูงถึง 2,975 ล้านบาท สอดคล้องกับทิศทางราคาหุ้นของ PTG ที่ถึงตอนนี้แม้จะยังไม่แจ้งผลการดำเนินงานออกมา แต่ราคาหุ้นก็ปรับขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถึงแม้ว่าทั้ง OR และ PTG จะทำธุรกิจประเภทที่ใกล้เคียงกัน มีจำนวนปั๊มน้ำมันในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน รวมไปถึงมีแนวโน้มที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 จะออกมาดีเช่นเดียวกัน

แต่ เจ๊เมาธ์ ก็ยังมองว่า ยังไม่สามารถที่จะนำเอา OR และ PTG มาเทียบกันโดยตรงได้อยู่ดี เพราะถึงแม้ทั้งสองบริษัทจะมีจำนวนปั๊มน้ำมันที่ใกล้เคียงกัน แต่ด้วยเหตุที่ปั๊มน้ำมันของ OR มีขนาดที่ใหญ่และมีจำนวนหัวจ่ายน้ำมันที่มากกว่า ทำให้ยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงของ OR มีปริมาณมากกว่าถึง 4 เท่า อย่างที่สองก็เป็นทางด้านของธุรกิจ Non-Oil ซึ่งทาง OR มีธุรกิจในเครือ มีรายการสินค้าและมีพื้นที่หน้าลานมากกว่า โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งปัจจุบันร้านกาแฟอเมซอนของ OR มีสาขาจำนวน 3,947 สาขา มียอดขายรวมอยู่ที่ 71 ล้านแก้ว ซึ่งหากเทียบกับร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่ทาง PTG ตั้งเป้าหมายเอาไว้ 1,500 สาขา ภายในปี 66 ก็ยังห่างกันอยู่มาก

เอาเป็นว่าถ้าชอบของใหญ่...ถึงแม้จะดูแล้วมั่นคงและเจ๊งยาก แต่ก็มีปัญหาในการตอบสนองที่เชื่องช้า แต่หากชอบของเล็ก ถึงแม้จะมีโอกาสทางธุรกิจและมีความคล่องตัวสูงที่มากกว่า แต่ก็อาจมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพของราคาอยู่บ้าง ดังนั้น เมื่อเห็นข้อดีข้อเสียแล้ว ใครจะสนใจตัวใหนก็ว่ากันไปตามใจได้เลย ของแบบนี้แล้วแต่ความชอบอยู่แล้วค่ะ

ถึงแม้กำไรในไตรมาสที่ 1/66 ของ ESSO ที่ออกมา 824 ล้านบาท ปรับลดลง-86% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่การฟื้นตัวขึ้นจากขาดทุนถึง 1.6 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นของ ESSO ยังคงแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ดีลที่ BCP ประกาศว่าจะเข้าไปซื้อหุ้น ESSO ในสัดส่วน 65.99% จาก ExxonMobil ก็ยังดำเนินการไม่จบ และล่าสุด BCP ได้แจ้งตลาดฯ ว่าจะประเมินเบื้องต้นของ ESSO เพื่อให้มีความเหมาะสมอีกครั้งอาจจะทำให้ราคาหุ้นของ ESSO ปรับลงมาก็เป็นได้ อย่าลืมไปว่าการเข้าซื้อหุ้นของ ESSO จากผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 65.99% ทำให้ทาง BCP จะต้องตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เหลือ ซึ่งหากผลประกอบการของ ESSO ยังคงดูไม่ดี ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาประเมินครั้งใหม่ที่ว่านี้ ต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน และเมื่อถึงวันนั้น...ราคาหุ้นที่แข็งแกร่งของ ESSO ก็อาจจะไม่สามารถที่จะแข็งต่อไปได้อีก

*** หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลหลายแห่งได้รับผลกระทบจากความตื่นตัวเกี่ยวกับการติดโควิดที่ปรับลง เพราะไม่ว่าจะเป็น BDMS BH BCH หรือ THG ซึ่งมีแนวโน้มว่า กำไรประจำไตรมาส 1/66 จะลดลง โดยล่าสุดผลการดำเนินงานของ CBH ลดลงถึง -87.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และลดลง -5.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้ที่มาจากผลกระทบของโควิดหายไปโดยมีแนวโน้มว่า ผลกระทบนี้อาจจะลากยาวไปจนถึงไตรมาสที่ 2/66 โน้นเลย

อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์แล้ว เจ๊ยังมองว่า ธุรกิจเมกะเทรนด์ในเรื่องการดูแลสุขภาพ และยังเป็นธุรกิจปัจจัยสี่ซึ่งเป็นพื้นฐานความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต อย่างธุรกิจโรงพยาบาลยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้อีกไกล ซึ่งกำไรที่ดูเหมือนจะมีปัญหาเหล่านี้ เป็นเพราะถูกนำเอาไปเทียบกับช่วงที่ดีที่สุด จึงทำให้ดูหมือนว่า กำไรของโรงพยาบาลปรับลงก็เท่านั้นเอง บอกเลยว่าทุกอย่างยังดูดี และถ้าหากเห็นราคาปรับลงมากๆ ก็ให้ถือซะว่าจะได้ซื้อของดีแบบมีส่วนลดก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ

*** ปีที่แล้วเจ๊เมาธ์เคยเตือนไปว่า ยุคทองของ STGT ได้จบลงไปแล้ว และถึงวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ราคาหุ้นของ STGT ปรับลงไปมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่สูงที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกำไรที่ลดลงมาเรื่อย เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากความตื่นตัวเกี่ยวกับการติดโควิดที่ปรับลง เช่นเดียวกับหุ้นโรงพยาบาล

แต่ประเด็นที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ การเข้ามาเป็นหุ้นจดทะเบียนในตลาดฯ ของ STGT เป็นการเข้ามาในเริ่มต้นการระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็น “นาทีทอง” ของธุรกิจ เนื่องจากถุงมือยาง ซึ่งเป็นสินค้าหลักอยู่ในช่วงขาดแคลนทำให้มีราคาขายที่สูงมากและกำไรก็ดีมาก ถุงมือยางของ STGT กลายเป็นสินค้าหายากจนไม่ว่าจะผลิตเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย และถึงวันนี้เมื่อโควิดจบ....ทุกอย่างก็จะต้องกลับไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น และแน่นอนว่าราคาหุ้นของ STGT อยู่ในจุดที่ควรจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเช่นเดียวกัน

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,887 วันที่ 14 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2566