KEY
POINTS
เวลาเดินเข้าไปในออฟฟิศขององค์กรใหญ่ ๆ เรามักเห็นคำสวยหรูติดอยู่บนผนัง อาทิ เช่น Innovation, Integrity, Teamwork ดูไปก็เหมือนประโยคสร้างแรงบันดาลใจที่วางไว้สวย ๆ แปะผนังไว้เพื่อการตลาด และความสวยงามเท่านั้น แต่คำถามที่สำคัญคือ คำสวยหรูติดผนังเหล่านี้ตามองค์กรใหญ่ๆ เป็นเพียงแค่ “สโลแกน” หรือ เป็น “ความจริง” ที่หล่อหลอมชีวิตประจำวันของคนในองค์กรนั้นจริง ๆ
บทความนี้นำเสนอคำตอบในเรื่องนี้ จากมุมมองของนักวิชาการ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ สำหรับในทางวิชาการ นั้น “วัฒนธรรมองค์กร” ไม่ใช่เรื่องของการตกแต่งสวยหรู เพื่อการตลาด หากแต่มันคือ ดีเอ็นเอ (DNA) ที่มองไม่เห็นขององค์กร เป็นบรรทัดฐานภายในองค์กรที่กำหนดว่า ผู้บริหารจะมีตัดสินใจอย่างไร พนักงานจะรับมือกับปัญหาแบบไหน และบริษัทจะอยู่รอดยั่งยืนหรือไม่
ในโลกธุรกิจยุคใหม่ วัฒนธรรมองค์กรจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการแข่งขันทางธุรกิจในยุคโลกาภิวัฒน์นั้น ไม่ได้แข่งขันกันด้วยโรงงานขนาดใหญ่ หรือ เงินทุนหนาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หากแต่ยังแข่งกันด้วยสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (intangible assets) อย่างเช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความคล่องตัว และ แรงบันดาลใจของพนักงาน
สิ่งเหล่านี้จะถูกนำมาต่อยอดได้ก็ต่อเมื่อ องค์กรมีวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการทดลอง พร้อมยอมรับความล้มเหลว และเรียนรู้จากมัน หากองค์กรมีวัฒนธรรมที่เปรียบเสมือนกำแพงสูง ปิดกั้นไอเดียใหม่ และยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ องค์กรนั้นๆ ก็จะไม่ต่างจากเรือลำใหญ่ที่ไม่สามารถฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจโลกได้ทันท่วงที
ในทางกลับกัน หากองค์กรมีวัฒนธรรมที่เป็นเสมือนสะพานเปิดทางให้คนกล้าคิดและลงมือทำ องค์กรก็พร้อมจะเจอทั้งโอกาสและความเสี่ยง แล้วสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างรวดเร็ว
วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง จึงเป็นเสมือนระบบภูมิคุ้มกันขององค์กรนำพาให้องค์กรสามารถก้าวผ่านวิกฤตต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ในวันที่โรคระบาดโควิด-19 ปิดโลกทั้งใบ พบว่า องค์กรที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง และมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ สามารถปรับตัวไปสู่การทำงานแบบออนไลน์และการบริการดิจิทัลได้ทันเวลา สามารถสู้กับวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาทิเช่น MUJI เปิดร้านค้าออนไลน์แห่งแรกบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Lazada หรือ แบรนด์คาเฟ่ร้านเบเกอรีชื่อดัง After You ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ด้วยการเน้นขายเดลิเวอรี ซื้อกลับบ้าน ไปจนถึงการออกบูทขายสินค้าและป๊อบอัพสโตร์กระจายตามหัวเมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น ในขณะที่อีกหลายๆ องค์กรที่ยึดติดกับวิถีการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ กลับสะดุดจนถึงขั้นล้มละลาย และไม่สามารถก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 ได้ อาทิเช่น การบินไทย นกสกู๊ต และ วุฒิศักดิ์คลินิก เป็นต้น
ดังนั้น คำถามที่สำคัญในวันนี้ไม่ใช่เพียงว่า บริษัททำกำไรได้เท่าไร แต่คือ บริษัทมีวัฒนธรรมองค์กรแบบไหน เพราะในระยะยาว นี่คือปัจจัยที่จะชี้ชัดว่า องค์กรจะอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้จริงหรือไม่
งานวิจัยใหม่ : วัฒนธรรมนวัตกรรมช่วยยกระดับ ESG
ผลการศึกษาล่าสุดโดยนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยเวิสเทิรน์ออสเตรเลีย ที่เก็บข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กว่า 700 แห่ง ในช่วง 20 ปี พบว่า บริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรเชิงนวัตกรรมสูง มักทำผลงาน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ได้ดีกว่าบริษัททั่วไป
พูดให้ง่ายกว่านั้นก็คือ องค์กรที่เปิดพื้นที่ให้พนักงานคิดใหม่ทำใหม่ มักจะไม่ใช่แค่ “ทำกำไร” แต่ยัง “ทำเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” ไปพร้อมกัน ผลวิจัยบอกว่า หากระดับวัฒนธรรมนวัตกรรมเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย คะแนน ESG ของบริษัทอาจกระโดดขึ้นถึง 25% ซึ่งถือว่าสูงมากในเชิงเศรษฐมิติ
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะนวัตกรรม คือ กลไกที่ผลักให้องค์กร “มองไกลกว่าไตรมาสหน้า” บริษัทกล้าที่จะลงทุนในเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน สร้างระบบตรวจสอบแรงงานที่โปร่งใส หรือ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนกว่า และสิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาเป็นคะแนน ESG ที่จับต้องได้จริง
กรณีศึกษาในไทย: เมื่อวัฒนธรรมเปลี่ยน ทิศทางธุรกิจเปลี่ยน
ในตลาดทุนไทย เราสามารถพบเห็นองค์กรหลายแห่งที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง สามารถนำพาองค์กรให้พัฒนาได้อย่างยั่งยืน ตัวอย่างเด่น ๆ ได้แก่ ท่ามกลางปัญหาสภาวะโลกร้อน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ยักษ์ใหญ่พลังงานฟอสซิลของไทย ได้นำวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมมาใช้ปรับธุรกิจหลัก ด้วยการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และ พลังงานสะอาด โดยตั้งศูนย์วิจัยและบ่มเพาะสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่กลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยน “DNA” ขององค์กรไปสู่การพัฒนายั่งยืน
ในขณะที่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (Thai Union) ได้เปลี่ยนผ่านจากการเผชิญความท้าทายในอดีตด้านแรงงาน มาสู่การเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) อย่างเป็นรูปธรรม จนได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารของโลก จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ประจำปี 2561 2562 2565 และปี 2567
หนึ่งในกุญแจสำคัญ คือ การนำนวัตกรรม เทคโนโลยี traceability เพื่อตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของสินค้า ให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า ปลาทูน่าที่ซื้อมานั้นไม่ได้มาจากการประมงผิดกฎหมาย พร้อมทั้งลงทุนในโปรตีนทางเลือกเพื่อลดผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก เพื่อสะสมกระแสเงินสดที่จำเป็น สำหรับต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ขยายตัวรวดเร็ว อาทิเช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมรับประทาน และธุรกิจวัตถุดิบและส่วนประกอบอาหาร เป็นต้น
ท้ายที่สุดนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นที่จะแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ความพยายามทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงแค่กลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่คือการเปลี่ยน “DNA” ขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคตอย่างยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนขององค์กร ที่นำวัฒนธรรมนวัตกรรมมาเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาสินค้าและบริการสีเขียว ตั้งแต่ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปจนถึงบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เอสซีจีได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ติดต่อกันกว่า 20 ปี และยังได้รับการยอมรับจากหลายดัชนีสากลอื่น ๆ เช่น Sustainalytics และ MSCI ESG Ratings ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนว่าความยั่งยืนไม่ใช่เพียงโครงการชั่วคราว แต่ได้กลายเป็น DNA ขององค์กรที่ใช้นวัตกรรมเป็นตัวเชื่อมธุรกิจกับสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง
ในขณะที่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (Bangchak) ใช้นวัตกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนในการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน มาสู่การเป็นองค์กรพลังงานที่ยึดหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) อย่างจริงจัง
บริษัทลงทุนในเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) จากน้ำมันใช้แล้ว และโครงการพลังงานสะอาดหลากหลายรูปแบบ พร้อมตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 และ Net Zero ภายในปี 2593 ความพยายามเหล่านี้สะท้อนการเปลี่ยน “DNA” ของบางจากจากธุรกิจพลังงานฟอสซิล ไปสู่องค์กรที่ใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อม
บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (Delta) ใช้นวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความยั่งยืน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอน ผ่านการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์ของ Delta จึงไม่เพียงตอบโจทย์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง
ความสำเร็จเหล่านี้ ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ต่อเนื่อง และกลายเป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดของไทย โดยมี ESG ฝังอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรอย่างมั่นคง
แม้แต่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่าง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) ก็ใช้นวัตกรรมด้านการจัดการทรัพยากรและโมเดลธุรกิจสีเขียว ในการขับเคลื่อนองค์กร โรงแรมในเครือพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อลดการใช้พลังงาน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อห้องพักอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้น้ำ และเพิ่มการรีไซเคิลของเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การลงทุนในพลังงานสีเขียวและระบบจัดการของเสียที่ล้ำสมัย ไม่เพียงช่วยให้ MINT กำหนดเป้าหมายสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 แต่ยังยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้เคารพต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ยั่งยืนให้แก่ผู้เข้าพัก
เทรนด์ต่างประเทศ : บทเรียนที่ไทยควรมอง
บนเวทีโลกก็มีตัวอย่างที่โดดเด่นอย่าง ยูนิลีเวอร์ (Unilever) แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมสามารถเป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนได้จริง บริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตั้งแต่การใช้จุลชีพและชีววิทยาสมัยใหม่ ไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ลดการพึ่งพาพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์ผู้บริโภค แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน สนับสนุนเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อผสานนวัตกรรมเข้ากับเป้าหมายด้าน ESG ยูนิลีเวอร์จึงได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในองค์กรที่ผู้บริโภคทั่วโลกไว้วางใจมากที่สุดด้านความยั่งยืน
เทสลา (Tesla) มุ่งขับเคลื่อนโลกสู่พลังงานสะอาด ผ่านการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน และโซลาร์เซลล์ที่ทำงานร่วมกันเป็นระบบครบวงจร ผลลัพธ์คือ การช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการเดินทางและการผลิตพลังงานแบบดั้งเดิม ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและมีการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ทำให้ Tesla กลายเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ แดนโน่ (Danone) จากฝรั่งเศสเน้นว่า นวัตกรรมด้านวิจัยและพัฒนาเป็นหัวใจหลักขององค์กร โดยยึดแนวทางห้าเสาหลัก ได้แก่ นวัตกรรมบนฐานวิทยาศาสตร์ โภชนาการเฉพาะบุคคล ความเป็นเลิศของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง และงานวิจัยเชิงอนาคต เสาหลักเหล่านี้ช่วยผลักดันให้องค์กรสร้างสรรค์โภชนาการที่ดีต่อสุขภาพและเข้าถึงผู้คนในทุกช่วงชีวิต ความก้าวหน้านี้ยังสะท้อนออกมาในมิติ ESG ผ่านกลยุทธ์ “Renew Danone” ที่ส่งเสริมเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู ลดการปล่อยก๊าซมีเทน และสนับสนุนการเข้าถึงน้ำสะอาดในชุมชนทั่วโลก
ขณะเดียวกัน แดนโน่ยังลงทุนพัฒนาทักษะบุคลากรผ่านโครงการ Dan’Skills และ Danone AI Academy การผสานนวัตกรรมเข้ากับกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ทำให้แดนโน่ไม่เพียงบรรลุผลลัพธ์เชิงความยั่งยืน แต่ยังสร้าง วัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง
ไทยอยู่ตรงไหนบนเวทีโลก?
ถ้าเทียบระดับประเทศ ไทยถือว่ามีความก้าวหน้าไม่น้อย จากรายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดย ศาสตราจารย์ Sachs และทีมวิจัย พบว่า คะแนน SDG ในปี ค.ศ. 2023 และ 2025 ไทยอยู่อันดับที่ 43 ของโลก และครองอันดับหนึ่งในอาเซียนด้านความยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
ขณะเดียวกัน หากเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ความก้าวหน้านี้ส่วนหนึ่งสะท้อนว่า องค์กรไทยจำนวนไม่น้อยได้นำนวัตกรรมมาปรับใช้ ตั้งแต่การพัฒนาพลังงานสะอาด บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ไปจนถึงการใช้ดิจิทัลในการตรวจสอบความโปร่งใส
ในตลาดทุนเอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พัฒนา ดัชนี SETTHSI และระบบ ESG Ratings เพื่อสนับสนุนให้บริษัทไทยเข้าสู่มาตรฐานโลกจนหลายบริษัท เช่น SCG, ปตท., ไทยยูเนี่ยน และบางจาก ยังคงได้รับการยอมรับใน DJSI อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าบริษัทไทยกำลังก้าวขึ้นมาอยู่ “แถวหน้า” ของภูมิภาคเอเชีย ในด้านของความยั่งยืน
บทสรุป: วัฒนธรรมคือเงื่อนไขการอยู่รอด
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่แค่คำคมบนฝาผนัง แต่มันคือเข็มทิศที่กำหนดอนาคตของบริษัท และในยุคที่ความยั่งยืนไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “เงื่อนไขการอยู่รอด” องค์กรที่มี DNA ของนวัตกรรมย่อมมีศักยภาพในการแข่งขันมากกว่า ทั้งในตลาดไทยและเวทีโลก
คำถามที่อยากทิ้งไว้กับผู้อ่านคือ: บริษัทที่คุณลงทุนอยู่ หรือแม้กระทั่งบริษัทที่คุณทำงานอยู่ มี DNA ของนวัตกรรมจริงหรือเป็นเพียงคำพูดสวยหรู? เพราะสุดท้ายแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่จะบอกว่าองค์กรจะยืนระยะได้หรือไม่ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนทุกวัน
บทความโดย...คณาจารย์สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1.รศดร.ภัทเรก ศรโชติ นักวิจัยประจำหน่วยปฏิบัติการวิจัยการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืน 2.ดร.ศิริมล ตรีพงษ์กรุณา หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืน 3.ผศ.ดร.ธนากร ลิขิตาภิวัฒน์ นักวิจัยประจำหน่วยปฏิบัติการวิจัยการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืน และ อาจารย์ประจำ ภาควิชาการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4137 - 1438