ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรครั้งใหญ่ที่นักวิชาการเรียกว่า "ความผกผันทางประชากร" หรือ Demographic Disruption ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ทั้งการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงวัย การลดลงของอัตราการเกิด และการเข้าสู่ภาวะที่มีอัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด
ศาสตราจารย์ ดร. เกื้อ วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระและอดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ พร้อมด้วยคณาจารย์จากสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ เปิดเผยข้อมูลคาดการณ์ที่น่าสนใจว่า ภายในปี 2083 หรืออีกเพียง 58 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงจาก 66 ล้านคนในปัจจุบัน เหลือเพียง 33 ล้านคน โดยในจำนวนนี้จะมีประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-64 ปี) เพียง 14 ล้านคน ลดลงจากปัจจุบันที่มีอยู่ถึง 46 ล้านคน
"ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ ในปี 2083 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับสูงสุด (Super-aged Society) อย่างเต็มรูปแบบ"
ด้านรองศาสตราจารย์ ดร. ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กล่าวว่า การลดลงของประชากรจะส่งผลดีต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจะช่วยลดแรงกดดันในการใช้ทรัพยากร ส่งผลให้เกิดการทำเกษตรกรรมและประมงที่ยั่งยืนมากขึ้น มีการเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดได้ดีขึ้น และเอื้อต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศบนบกและในน้ำ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม รองศาสตราจารย์ ดร. ภัทเรก ศรโชติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กล่าวเสริมว่า ในขณะที่ด้านสิ่งแวดล้อมจะได้ประโยชน์ แต่ความท้าทายที่น่ากังวลกว่ามากคือผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในเรื่องการขจัดความยากจน การดูแลสุขภาพ และการเติบโตทางเศรษฐกิจ การที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่นอกระบบแรงงานจะสร้างภาระทางการคลังอย่างมหาศาลต่อระบบสวัสดิการสังคม ขณะที่การลดลงของประชากรวัยแรงงานจะทำให้ฐานภาษีลดลง
รองศาสตราจารย์ ดร. พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่องานวิจัยด้านบรรษัทภิบาลและการเงินเชิงพฤติกรรม สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงมากกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาแรกๆ ของโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับสูงสุด และเข้าสู่สถานะดังกล่าวในอัตราที่รวดเร็วมาก ประเทศพัฒนาแล้วใช้เวลานับร้อยปีในการปรับตัว แต่ประเทศไทยมีเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ ทำให้ความพร้อมในการรับมือในทุกระดับยังอยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
ศาสตราจารย์ ดร. พัชราวลัย วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระและอดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ เสริมว่า "ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยจะเผชิญความท้าทายอย่างหนัก เมื่อต้องรองรับผู้สูงอายุซึ่งมีแนวโน้มเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ฐานภาษีเพื่อสนับสนุนระบบกลับลดลง"
"ความผกผันทางประชากรเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สังคมไทยต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมเพื่อปรับตัวในทุกระดับตั้งแต่วันนี้ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ครอบครัว และตัวบุคคล" ศาสตราจารย์ ดร. เกื้อกล่าว
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรุนแรงนี้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายอนาคตของประเทศไทย และต้องการการเตรียมการอย่างรอบด้านและเร่งด่วนเพื่อรักษาความยั่งยืนของสังคมไทยในระยะยาว
งมหาศาลถึง 32 ล้านคน (จาก 46 ล้านคนเหลือเพียง 14 ล้านคน) ขณะที่จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว จาก 8 ล้านคน เป็น 18 ล้านคน ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลอย่างรุนแรงของโครงสร้างประชากร
"ความผกผันทางประชากรเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สังคมไทยต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเตรียมพร้อมเพื่อปรับตัวในทุกระดับ ตั้งแต่ภาครัฐ ครอบครัว ไปจนถึงตัวบุคคล จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง" คณะผู้เชี่ยวชาญกล่าวทิ้งท้าย พร้อมเน้นย้ำว่านโยบายแบบองค์รวมที่เชื่อมโยงสุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศในระยะยาว
แม้ปัญหานี้จะดูเหมือนเป็นวิกฤตระยะยาว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การเตรียมการจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ หากต้องการให้สังคมไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ