“ตายมากกว่าเกิด” วิกฤตประชากรหรือโอกาสความยั่งยืนของไทย

21 พ.ค. 2568 | 09:22 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ค. 2568 | 09:26 น.

ศศินทร์ เผยวิกฤตประชากรไทย “ตายมากกว่าเกิด” ส่งผลแรงงานหาย 32 ล้านคน แต่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 2 เท่า เตือนรัฐต้องเร่งปรับนโยบายก่อนสายเกินแก้ พร้อมเสนอ 4 แนวทางรับมือ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรครั้งใหญ่ที่นักวิชาการเรียกว่า "ความผกผันทางประชากร" หรือ Demographic Disruption ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ทั้งการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงวัย การลดลงของอัตราการเกิด และการเข้าสู่ภาวะที่มีอัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด

ศาสตราจารย์ ดร. เกื้อ วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระและอดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ พร้อมด้วยคณาจารย์จากสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ เปิดเผยข้อมูลคาดการณ์ที่น่าสนใจว่า ภายในปี 2083 หรืออีกเพียง 58 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงจาก 66 ล้านคนในปัจจุบัน เหลือเพียง 33 ล้านคน โดยในจำนวนนี้จะมีประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-64 ปี) เพียง 14 ล้านคน ลดลงจากปัจจุบันที่มีอยู่ถึง 46 ล้านคน

"ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ ในปี 2083 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับสูงสุด (Super-aged Society) อย่างเต็มรูปแบบ"

ด้านรองศาสตราจารย์ ดร. ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กล่าวว่า การลดลงของประชากรจะส่งผลดีต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจะช่วยลดแรงกดดันในการใช้ทรัพยากร ส่งผลให้เกิดการทำเกษตรกรรมและประมงที่ยั่งยืนมากขึ้น มีการเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดได้ดีขึ้น และเอื้อต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศบนบกและในน้ำ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม รองศาสตราจารย์ ดร. ภัทเรก ศรโชติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ กล่าวเสริมว่า ในขณะที่ด้านสิ่งแวดล้อมจะได้ประโยชน์ แต่ความท้าทายที่น่ากังวลกว่ามากคือผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในเรื่องการขจัดความยากจน การดูแลสุขภาพ และการเติบโตทางเศรษฐกิจ การที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่นอกระบบแรงงานจะสร้างภาระทางการคลังอย่างมหาศาลต่อระบบสวัสดิการสังคม ขณะที่การลดลงของประชากรวัยแรงงานจะทำให้ฐานภาษีลดลง

“ตายมากกว่าเกิด” วิกฤตประชากรหรือโอกาสความยั่งยืนของไทย

รองศาสตราจารย์ ดร. พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่องานวิจัยด้านบรรษัทภิบาลและการเงินเชิงพฤติกรรม สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงมากกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาแรกๆ ของโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับสูงสุด และเข้าสู่สถานะดังกล่าวในอัตราที่รวดเร็วมาก ประเทศพัฒนาแล้วใช้เวลานับร้อยปีในการปรับตัว แต่ประเทศไทยมีเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ ทำให้ความพร้อมในการรับมือในทุกระดับยังอยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

ศาสตราจารย์ ดร. พัชราวลัย วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระและอดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ เสริมว่า "ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยจะเผชิญความท้าทายอย่างหนัก เมื่อต้องรองรับผู้สูงอายุซึ่งมีแนวโน้มเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ฐานภาษีเพื่อสนับสนุนระบบกลับลดลง"

ข้อเสนอแนะเพื่อรับมือวิกฤต 

  1. การจัดการสุขภาพแบบองค์รวม - เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ลดการบริโภคเกินความจำเป็นเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อ และปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพให้ยั่งยืนทางการเงิน
  2. การส่งเสริมการทำงานของผู้สูงวัย - พัฒนานโยบายการจ้างงานที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับผู้สูงอายุ สร้างบทบาทใหม่ให้ผู้สูงวัยในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ข้ามรุ่น
  3. พัฒนานวัตกรรมรองรับสังคมสูงวัย - ส่งเสริมการพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ระบบ AI ด้านสุขภาพ เทคโนโลยีการดูแลระยะไกล และศูนย์ดูแลร่วมระหว่างเด็กและผู้สูงวัย
  4. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ - มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมแทนการพึ่งพาแรงงานเข้มข้น ส่งเสริมเศรษฐกิจผู้สูงอายุ (Silver Economy) และพิจารณานโยบายการเปิดรับแรงงานต่างชาติอย่างมีแบบแผน

"ความผกผันทางประชากรเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สังคมไทยต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมเพื่อปรับตัวในทุกระดับตั้งแต่วันนี้ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ครอบครัว และตัวบุคคล" ศาสตราจารย์ ดร. เกื้อกล่าว

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรุนแรงนี้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายอนาคตของประเทศไทย และต้องการการเตรียมการอย่างรอบด้านและเร่งด่วนเพื่อรักษาความยั่งยืนของสังคมไทยในระยะยาว

งมหาศาลถึง 32 ล้านคน (จาก 46 ล้านคนเหลือเพียง 14 ล้านคน) ขณะที่จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว จาก 8 ล้านคน เป็น 18 ล้านคน ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลอย่างรุนแรงของโครงสร้างประชากร

แนวทางแก้ไขและรับมือ

  1. การจัดการสุขภาพแบบองค์รวม
    • เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย
    • ลดการบริโภคเกินความจำเป็น เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และความดันโลหิตสูง
  2. การส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงวัย
    • สร้างโอกาสการทำงานที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้สูงวัย
    • ส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ข้ามรุ่น
  3. การพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีและสังคม
    • พัฒนาหุ่นยนต์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ
    • ใช้ AI ในการดูแลสุขภาพ
    • จัดตั้งศูนย์ดูแลร่วมระหว่างเด็กและผู้สูงวัย

"ความผกผันทางประชากรเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สังคมไทยต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเตรียมพร้อมเพื่อปรับตัวในทุกระดับ ตั้งแต่ภาครัฐ ครอบครัว ไปจนถึงตัวบุคคล จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง" คณะผู้เชี่ยวชาญกล่าวทิ้งท้าย พร้อมเน้นย้ำว่านโยบายแบบองค์รวมที่เชื่อมโยงสุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศในระยะยาว

แม้ปัญหานี้จะดูเหมือนเป็นวิกฤตระยะยาว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การเตรียมการจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ หากต้องการให้สังคมไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ