“ความผกผันทางประชากร” (Demographic Disruption) คือปรากฏการณ์ที่โครงสร้างประชากร ซึ่งเราเคยคุ้นชินมาเป็นระยะเวลานาน กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวน และสัดส่วนประชากรสูงวัย
การลดลงของอัตราการเกิด และการหดตัวของจำนวนประชากร (หรือการที่สังคม "ตายมากกว่าเกิด") การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จะส่งผลกระทบอย่างมากในอนาคตอันใกล้ และในหลากหลายมิติต่อประชากรของประเทศแทบจะทุกประเทศในโลกใบนี้ก็ว่าได้
สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลคาดการณ์จำนวนประชากรในบทความเรื่อง “จะเป็นอย่างไรหากสังคมไทย ‘ตายมากกว่าเกิด" ไปเรื่อย ๆ” พบว่า ภายในปี ค.ศ. 2083 ประชากรในประเทศไทยจะลดลงจาก 66 ล้านคน เหลือเพียง 33 ล้านคน โดยในจำนวนนี้จะมีเพียง 14 ล้านคน ที่เป็นประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15 – 64 ปี) จากปัจจุบันที่มีประชากรวัยแรงงานอยู่ถึง 46 ล้านคน
ยิ่งไปกว่านั้น เราจะพบว่า ประชากรผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มมากขึ้นจาก 8 ล้านคน เป็น 18 ล้านคน โดยจากสัดส่วนนี้จะเห็นว่า ในปี ค.ศ. 2083 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรในประเทศ ซึ่งตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงการก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสูงสุดของประเทศไทย
อย่างไรก็ดี มุมมองหนึ่งที่หลายคนอาจยังไม่เคยนึกถึงก็คือ คำถามที่ว่า ความผกผันทางประชากร จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อความยั่งยืน?
ในมิติหนึ่ง บางคนอาจมองว่าการลดลงของจำนวนประชากร เป็นสิ่งที่ดีต่อความยั่งยืน เพราะจะช่วยลดแรงกดดันต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันอาจนำไปสู่สมดุลใหม่ที่เอื้อต่อการอนุรักษ์โลกในระยะยาว
แต่อีกมุมหนึ่ง การลดลงของจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ความไม่สมดุลครั้งใหญ่ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนแรงงานในการผลิต การขาดผู้บริโภคที่เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือ แม้แต่การขาดกำลังพลที่จำเป็นต่อการปกป้องประเทศ ด้วยเหตุนี้ ความผกผันทางประชากรจึงอาจไม่ใช่เพียงโอกาสในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นปัจจัยที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อ “ความยั่งยืน” ในมิติต่าง ๆ ของการพัฒนา
บทความนี้จึง มีเป้าหมายในการนำเสนอแนวคิดและการวิเคราะห์ผลกระทบของความผกผันทางประชากรต่อความยั่งยืน ในบริบทของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของประเทศไทย
งานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งของ Marcin Pawel Jarzebski และคณะ (2021) ซึ่ง Jarzebski นั้น เป็นนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรต่อความยั่งยืนในระดับเมืองและระดับโลก จะถูกใช้นำมาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ผลกระทบของความผกผันทางประชากรที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยต่อความยั่งยืน
โดยงานวิจัยชิ้นนี้ ศึกษาผลกระทบของสองปรากฏการณ์ ได้แก่ 1. การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และ 2. การลดลงของจำนวนประชากรต่อ 25 เป้าหมายย่อย (Targets) ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในแต่ละเป้าหมายย่อย นักวิจัยจะนำเสนอเหตุผลอย่างเป็นระบบว่า การเปลี่ยนแปลงทางประชากรทั้งสองประการจะ 1. เป็นโอกาส หรือ 2. เป็นอุปสรรค หรือ 3. อาจเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคต่อเป้าหมายย่อย (ซึ่งจะไม่ถูกพูดถึงในบทความนี้)
สำหรับเป้าหมายย่อย (Target) ที่จะได้รับผลดีจากการเปลี่ยนแปลงทั้งสองปรากฏการณ์ได้แก่ การทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน (Target 2.4), การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด (Target 6.1), การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ (Target 12.2), การลดขยะอาหาร (Target 12.3), และการลดของเสียผ่านการใช้ซ้ำ (Target 12.5) การยุติการทำประมงเกินขนาด (Target 14.4) และ การอนุรักษ์ระบบนิเวศบนบกและน้ำจืด (Target 15.1)
สาเหตุหลักที่เป้าหมายเหล่านี้ได้รับผลดี เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าวจะช่วยลดแรงกดดันในการใช้ทรัพยากร ซึ่งในอดีตถูกใช้อย่างเข้มข้นในช่วงที่ประชากรมีจำนวนมาก และมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานมาก
สำหรับประเทศไทย ผู้เขียนเห็นว่า เป้าหมายย่อยที่จะมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อประเทศไทย ได้แก่ การทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน การทำประมงที่ยั่งยืน และ การอนุรักษ์ระบบนิเวศบนบกและ น้ำจืด
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในระดับโลก ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าประมง ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ นอกจากนี้ การอนุรักษ์ระบบนิเวศบนบกและน้ำจืด ยังมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอีกรายได้หลักที่สำคัญของประเทศ
สำหรับเป้าหมายย่อย (Target) ที่จะได้รับผลเสียจากการเปลี่ยนแปลงทั้งสองปรากฏการณ์ ได้แก่ การขจัดความยากจนขั้นรุนแรง (Target 1.1), การลดสัดส่วนประชากรยากจน (Target 1.2), การจัดระบบคุ้มครองทางสังคม (Target 1.3), การเข้าถึงทรัพยากรและบริการพื้นฐานอย่างเท่าเทียม (Target 1.4), การอนุรักษ์ความหลากหลายของพันธุกรรมพืชและสัตว์ (Target 2.5), การลดการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อ (Target 3.4)
การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Target 3.8), การเติบโตทางเศรษฐกิจ (Target 8.1), การเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจ (Target 8.2), การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Target 9.1), การส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างทั่วถึงและยั่งยืน (Target 9.2), การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ (Target 11.2), การเข้าถึงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะอย่างปลอดภัยและเท่าเทียม (Target 11.7), การเสริมสร้างความสามารถในการรับมือภัยพิบัติ (Target 13.1)
โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญคือ ประเทศจะขาดทรัพยากรในการลงทุนและพัฒนา เมื่อจำนวนประชากรโดยรวมลดลง และสัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลง
สำหรับประเทศไทย ผู้เขียนเห็นว่า เป้าหมายย่อยที่น่ากังวลเป็นพิเศษ ได้แก่ การขจัดความยากจน (ผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่นอกระบบแรงงานและพึ่งพารายได้จากรัฐ), การลดการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อ, และ การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต
สาเหตุหลักคือ ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาแรก ๆ ของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยระดับสูงสุด และเข้าสู่สถานะดังกล่าวในอัตราที่รวดเร็วมาก ดังนั้น ความพร้อมในการรับมือและปรับตัว ทั้งในระดับรัฐ ระดับครอบครัว และ ระดับบุคคล จึงยังอยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ควรร่วมกันวางแนวทางสู่สังคมที่มีการจัดการสุขภาพแบบองค์รวม โดยเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การลดการบริโภคเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง ซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพ
ในด้านรายได้ควรส่งเสริมการมีงานทำที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้สูงวัย เพื่อสร้างบทบาทใหม่ และถ่ายทอดทุนทางสังคมข้ามรุ่น พร้อมกับพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและสังคม เช่น หุ่นยนต์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ AI ด้านสุขภาพ และ ศูนย์ดูแลร่วมระหว่างเด็กและผู้สูงวัย เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนในสังคมสูงวัย
กล่าวโดยสรุป ความผกผันทางประชากร เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สังคมไทยต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ การเตรียมพร้อมเพื่อปรับตัวในทุกระดับ ตั้งแต่ภาครัฐ ครอบครัว ไปจนถึงตัวบุคคล จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้บริบทของสังคมสูงวัยที่กำลังมาถึงอย่างรวดเร็ว นโยบายแบบองค์รวมที่เชื่อมโยงสุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศในระยะยาว
บทความโดย : คณาจารย์ศศินทร์ ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน อดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯและสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์, รศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ รองผอ.สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ รศ.ดร.ภัทเรก ศรโชติ ผู้ช่วยผอ.สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ รศ.ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่องานวิจัยด้านบรรษัทภิบาลและ การเงินเชิงพฤติกรรม สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ และ ศ.ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน อดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ