ความเชื่อเรื่องการมีลูกปีมังกร ความหวังกอบกู้วิกฤติเด็กไทยเกิดน้อย

18 พ.ค. 2567 | 01:30 น.

ความเชื่อเรื่องการมีลูกปีมังกร ความหวังกอบกู้วิกฤติเด็กไทยเกิดน้อย : คอลัมน์บทความ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,993 หน้า 5 วันที่ 19 - 22 พฤษภาคม 2567

หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยิน หรือ เคยอ่านผ่านตาในวิกฤตการณ์เรื่อง “อนาคตของโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย” กันมาบ้าง อ้างอิงจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ว่า ในปี 2030 ประชากร 1 ใน 6 ของโลก จะเป็นประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และในจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าในปี 2050 ซึ่งวิกฤตการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในประเทศ ไทยด้วยเช่นกัน 

โดยปรากฏในบทความพิเศษของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกกรณ์มหาวิทยาลัย ที่คาดการณ์ว่า ภายในปี ค.ศ. 2083 ประชากรในประเทศไทยจะลดลงจาก 66 ล้านคน เหลือเพียง 33 ล้านคน หรือ 50% ของประชากรในปัจจุบันเท่านั้น 

 

 

 

ในจำนวนนี้เราจะพบว่า ประชากรผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มมากขึ้นจาก 8 ล้านคนในปัจจุบัน เป็น 18 ล้านคน จากสัดส่วนข้างต้นจะเห็นว่า ในปี ค.ศ. 2083 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรในประเทศ

สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์เรื่องสังคมสูงวัยนั้น เกิดจากการที่ปัจจุบัน อัตราการเกิดลดน้อยลงเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องของค่านิยมของการมีลูกที่เปลี่ยนไป หรือ เรื่องของความกังวลในด้านค่าใช้จ่ายที่จะสูงขึ้นเมื่อมีบุตร

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อทำการเทียบกับในอดีตช่วงปี 2545 ถึงปี 2550 ที่มีเด็กเกิดมามากถึง 4,796,940 คน แต่ใน 5 ปีที่ผ่านมา กลับมีเพียง 2,770,184 คนเท่านั้น ซึ่งลดลงไปเกือบ 50% 

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ขณะนั้น) ได้มีการให้ข้อมูลในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ว่า สาเหตุของการที่คนไม่อยากมีลูกส่วนใหญ่นั้น มาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ไม่เอื้อต่อการมีลูก มีแค่ร้อยละ 10 เท่านั้นที่มีข้อมูลว่าไม่อยากมีลูก เพราะมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น หากยังไม่มีมาตรการจูงใจให้ประชาชนตัดสินใจมีบุตร บนพื้นฐานของสิทธิส่วนบุคคล ก็จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนการเกิดได้ 

แต่ในวิกฤตการณ์นี้ อาจจะยังมีความหวัง เมื่อในปี 2566 ที่ผ่านมา ได้มีจำนวนสตรีเข้ารับบริการฝากครรภ์มากเกินกว่าเป้าหมายที่ทาง สปสช. ได้ตั้งเอาไว้ เป็นจำนวน 493,918 คน จากเป้าหมาย 319,317 คน หรือคิดเป็น 154.68% ของเป้าหมายเดิม 

ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นข้างต้น ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการผลักดันให้ การส่งเสริมการมีบุตรเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอไว้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 กระทรวงสาธารณสุข จึงเร่งผลักดันให้การส่งเสริมการมีบุตรเป็น “วาระแห่งชาติ” เพื่อให้รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนหลักในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 

โดยสาระสำคัญที่พิจารณาคือ มาตรการส่งเสริมการมีบุตร ทั้งเรื่อง ความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระในการเลี้ยงดูบุตร

การช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก และการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มที่ใช้ชีวิตคู่ไม่อยากจดทะเบียนสมรส กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มหนุ่มโสดสาวโสดที่อยากมีลูก แต่ไม่อยากมีครอบครัว ให้มีโอกาสมีลูกได้ โดยบูรณาการร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 

                            ความเชื่อเรื่องการมีลูกปีมังกร ความหวังกอบกู้วิกฤติเด็กไทยเกิดน้อย

รวมทั้งแนวทางส่งเสริมการจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ ตํ่ากว่า 2 ปี เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูเด็กอ่อนก่อนวัยเรียนในเวลากลางวัน สำหรับครอบครัวที่พ่อแม่ออกไปทำงาน (หลายบริษัทที่มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย คนทำงานมีแนวโน้มที่จะมีคุณภาพมากว่าไม่มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย  เนื่องจากพ่อแม่ทำงานได้เต็มที่ไม่ต้องพะวงกังวลใจเรื่องดูแลลูกในช่วงเวลาทำงาน) 

หรือการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาภาระมีบุตรยากให้เข้าถึงการรักษา โดยเฉพาะสตรีที่อายุยังน้อย เพื่อลดภาวะการมีบุตรยากในคู่สมรสที่อายุสูงขึ้น ของ พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย  ที่ต้องการให้กรมอนามัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการในเรื่องของการมีคลินิกส่งเสริมการมีบุตรจังหวัดละ 1 แห่ง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการการรักษาภาวะมีบุตรยากได้เร็วขึ้นในอายุที่น้อยลง และเพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตร 

พญ.อัจฉรา ยังได้เสนอแนะเพิ่มอีกว่า การมี child care ในทุกบริษัท, หน่วยราชการ และรัฐวิสาหกิจ อาจช่วยลดประเด็น บทบาทที่ขัดกันระหว่างการทำงานกับการเลี้ยงดูบุตรได้ โดยการมี child care ดังกล่าว เป็นถือการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ไม่ได้ถือเป็นการสิ้นเปลือง 

แต่อย่างไรก็ตาม อีกสาเหตุหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่ได้คำนึงถึง อาจเกิดจากพลังของ “ปีมังกร” ในปี พ.ศ. 2567 นี้ 

จากความเชื่อของชาวจีนที่ได้มีเขียนไว้ในตำรานักษัตรโบราณ ได้ระบุไว้ว่า เด็กเกิดปีมังกร จะมีลักษณะสง่าผ่าเผย มีความเป็นผู้นำสูง มีความมุมานะ อดทนต่อความยากลำบาก 

นอกจากนี้ เด็กที่เกิดปีมังกรจะมีเรื่องของโชคลาภทั้งการเงิน การงาน และความรัก ซึ่งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมานี้ ก็ได้ถือเป็นวันที่เริ่มต้นเข้าสู่ปีมังกรอย่าง เป็นทางการ

จากสถิติจำนวนการเกิดโดยจำแนกตามปีที่เกิด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 - 2566 จะพบว่าในปี พ.ศ. 2507 ที่มีจำนวนคนเกิดเยอะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ประเทศไทย เป็นจำนวน 1,212,162 คน ก็เป็นปีมังกรเช่นเดียวกัน 

นอกจากนี้ เมื่อดูที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving average) ของอัตราการเกิดย้อนหลังในระยะ 2 ปี ยังพบว่า เมื่อถึงปีมังกรหรือหลังจากปีมังกรจะมีแนวโน้มที่จำนวนเด็กเกิดใหม่จะสูงขึ้นในทุกครั้ง

 

ความเชื่อเรื่องการมีลูกปีมังกร ความหวังกอบกู้วิกฤติเด็กไทยเกิดน้อย

 

เด็กเกิดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วงปีมังกรเพียงพอหรือไม่ ที่จะกอบกู้วิกฤติการตายมากกว่าเกิดของไทย คงต้องรอข้อมูลการเกิดและการตายในช่วงกุมภาพันธ์ ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2567 ว่า สถานการณ์เกิดมากกว่าตายของประเทศไทยที่เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จะมีแนวโน้มดีขึ้นหรือไม่ จากแผนการดำเนินงานตามวาระแห่งชาติ จากความร่วมมือของกระทรวงต่างๆ รวมทั้งสมาคม เอกชน และจากปีมังกร ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น

 

บทความโดย...  

ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน นักวิชาการอิสระ อดีตศาสตราจารย์วิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ และ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาฯ

รศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการด้านวิชาการ สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์

รศ.ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่องานวิจัยด้านบรรษัทภิบาลและการเงินเชิงพฤติกรรม สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์

ผศ.ดร.ภัทเรก ศรโชติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านงบประมาณบัญชีและการเงิน สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์