รัฐบาลดิ้นทุกทาง รักษาเสถียรภาพ กองทุนน้ำมันฯ

29 มิ.ย. 2565 | 00:50 น.

บทบรรณาธิการ

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงผันผวน กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในระดับ 109-115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังตลาดกังวลต่อการจัดหาน้ำมันดิบที่ตึงตัว และมีท่าทีว่าจะปรับตัวต่อเนื่อง จากการเพิ่มจำนวนทหารในการเตรียมความพร้อมระดับสูงขึ้นมากกว่า 7 เท่าเป็น 300,000 นาย ขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่พร้อมจะบุกรัสเซีย
 

ส่วนผู้ได้รับอานิสงส์เต็มๆ ดูเหมือนจะมีเป็นโรงกลั่นน้ำมัน ตัวเลขค่าการกลั่นตั้งแต่วันที่ 1-28 มิถุนายน 2565 ที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ใช้อ้างอิงเบื้องต้นโรงกลั่นน้ำมันรับเฉลี่ยอยู่ที่ 6.82 บาทต่อลิตร ถือเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบเฉลี่ยทั้งปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิดอยู่ที่ 1.18 บาทต่อลิตร โดยค่าการกลั่นที่ได้รับนี้ ได้ปรับตัวสูงมาอย่างต่อเนื่องนับจากปลาอยปี 2564 เป็นต้นมา ประมาณค่าการกลั่นเฉลี่ยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ น่าจะอยู่ที่ราว 3.81 บาทต่อลิตร เทียบกับทั้งปี 2564 อยู่ที่ 0.89 บาทต่อลิตร

ขณะที่รัฐบาลนั่งกุมขมับ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำมาใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2565 ติดลบ 102,586 ล้านบาท เป็นบัญชีน้ำมัน 65,202 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม 37,384 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ ต้องควักมาอุ้มน้ำมันดีเซลถึง 11.07 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้เกินเพดาน 35 บาทต่อลิตร เท่ากับว่าต่อสัปดาห์ กองทุนน้ำมันฯ จะต้องใช้เงินในการอุ้มดีเซลกว่า 5.4 พันล้านบาท 
 

เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลพยายามดิ้นทุกทาง ที่จะหาเงินมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ก็ตีปลาหน้าไซถึงแนวทางการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจจากสถานการณ์ราคาพลังงานในระยะเร่งด่วนว่า ได้มีมาตรการขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ นำส่งกำไรส่วนหนึ่งจากค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลและเบนซินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤติราคาน้ำมันแพง เพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเงินในส่วนของน้ำมันดีเซล นำไปลดภาระการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือใช้บริหารราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ และเงินในส่วนของน้ำมันเบนซินนำไปลดราคาขายปลีกในประเทศ

อีกทั้งขอความร่วมมือจากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) นำส่งกำไรส่วนหนึ่งของโรงแยกก๊าซธรรมชาติเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยคาดว่าจะจัดเก็บได้ประมาณ 500-1,000 ล้านบาทต่อเดือน มีระยะเวลาการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565
 

รวมทั้ง ยังเห็นชอบมาตรการบริหารราคาน้ำมันดีเซล โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2565 ในกรณีที่ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศยังคงสูงเกินกว่าราคาที่กำหนดไว้ที่ 35 บาทต่อลิตร รัฐจะอุดหนุนราคาส่วนเพิ่ม 50% ซึ่งเท่ากับว่าการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร จะขยายระยะเวลาต่อไปหลังจากสิ้นสุดในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ รวมถึงการลดไบโอดีเซลผสมในน้ำมันดีเซลลงเหลือ 5% เพื่อช่วยลดราคาหน้าโรงกลั่นให้ปรับตัวลงมาบ้าง
 

ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อรักษาเถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ไม่ให้ถังแตกไปมากกว่านี้ เพื่อที่จะมีเงินมาอุ้มน้ำมันดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตรให้นานที่สุด ให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เพราะหากสูงไปกว่านี้ เวลานี้เองทุกสาขาอาชีพได้รับความเดือดร้อนอยู่แล้ว ไม่เว้นแต่รถโดยสารต่างๆ ก็เริ่มลดเที่ยววิ่งลง เพราะทนแบกรับต้นทุนไม่ไหว 
 

ส่วนจะได้เม็ดเงินมาจากโรงกลั่นและโรงแยกก๊าซฯเบ็ดเสร็จเท่าใดนั้น คงจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้