“เทสลา”มา พาหุ้น EV ไทยคึกคัก

26 พ.ค. 2565 | 22:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** อย่าเพียงมองว่า  TESLA ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อันดับหนึ่งของโลก เข้ามาตั้งบริษัทในประเทศไทย จะไม่เป็นประโยชน์กับตลาดหุ้น เพราะแม้จะเป็นไปเพื่อการเป็นตัวแทนจำหน่าย ไม่ใช่การตั้งโรงงานผลิต อาจทำให้ราคาขายรถยนต์ (EV) ของ TESLA ปรับถูกลงถึง 50% ซึ่งก็จะมีผลทำให้กระแสการใช้รถยนต์ (EV) ในประเทศ ตื่นตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ ตามมาด้วยโดยกลุ่มบริษัทที่จะได้อานิสงส์นี้ ประกอบไปด้วยกลุ่มผู้ผลิตแบตเตอรี่อย่าง EA GPSC BCPG BPP 
 

กลุ่มสถานีชาร์จประกอบด้วย OR BCP FORTH CPALL กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนเช่น AH EPG GYT FPI HFT NER PACO PJW SAT STANLY STARK TKT และ THU ขณะที่หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA KCE HANA รวมไปถึงกลุ่มบริษัทผู้ประกอบรถบัสไฟฟ้าอย่าง CHO EA CWT และ NEX ก็จะได้ประโยชน์ตามไปด้วยเช่นกันค่ะ


*** แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นของเฟดกดดันให้ราคาหุ้นกลุ่มลีสซิ่งถอยหลังลงคลองมาตลอดนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่ทั้งที่ได้รับผลกระทบคล้ายกันกลับดูเหมือนว่า TIDLOR จะออกอาการมากกว่าหุ้นลีสซิ่งตัวใหญ่ระดับเดียวกันอย่าง MTC และ SAWAD ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า TIDLOR พึ่งจะเข้ามาอยู่ในตลาดได้เพียงหนึ่งปี ทำให้ราคาหุ้นยังไม่สามารถถีบตัวเองหนีไปจากราคาจองซื้อ (IPO = 36.50 บาท) ออกไปได้มากพอ

ดังนั้น เมื่อสถานการณ์กดดันให้ราคาหุ้นหน้ากระดานหลุดลงต่ำกว่าราคาจองซื้อ ก็เป็นเหตุให้นักลงทุนขาดความมั่นใจในการลงทุน อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ยังมองว่า ด้วยพื้นฐานทางธุรกิจที่ปรับดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเข้าตลาด (แม้ว่าจะมีหลายอย่างที่โม้เอาไว้มากเกินไป) ทำให้ TIDLOR ไม่ได้ดูแย่เกินไป เพียงแต่ถ้าใครจะซื้อหุ้นของ TIDLOR อาจจะต้องแบ่งซื้อเป็นหลายไม้บ้างก็เท่านั้น เพราะจังหวะนี้หุ้นลีสซิ่งอาจจะยังปรับตัวลงไปได้อีกเจ้าค่ะ
 

*** ราคาหุ้นของ KEX ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 20% จากจุดต่ำสุดในรอบปีโดยมีประเด็นข่าวเรื่องยอดการส่งสินค้าที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอ้างถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านราคาเชิงรุกและการขยายสาขา แต่โดยส่วนตัวของเจ๊เมาธ์ เจ๊ยังมองว่า KEX ยังไปไม่ถึงจุดเปลี่ยนที่ราคาหุ้นปรับตัวกลับขึ้นไปได้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
 

อย่างแรก เจ๊มองว่า นี่เป็นเพียงแค่การรีบาวด์ทางเทคนิค หลังจากที่ราคาหุ้นปรับลงไปต่ำที่สุดในรอบปีเหมือนกับที่เคยทำมาแล้ว 
 

สองคือ ผลการดำเนินงาน 1/65 แม้จะบอกว่ารายได้สูงขึ้น แต่ตัวเลขรวมก็ยังขาดทุนอยู่ถึง 491 ล้านบาท ขณะที่ปี 64 ทั้งปีพบว่า KEX มีกำไรแค่ 47 ล้านบาท เท่านั้น ดังนั้น สำหรับหุ้นอย่าง KEX เจ๊เมาธ์ยังคงย้ำคำเดิมว่าสามารถเล่นรอบได้ แต่ถ้าจะถือยาวบอกเลยว่า ต้องทำใจถือยาว...ถึงยาวมากๆ ให้ได้ก็เท่านั้นเจ้าค่ะ
 

*** ถึงแม้รายได้ในไตรมาสที่ 1/65 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวและมีกำไร 1,050 ล้าน เพิ่มขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่กลับพบว่าผลกำไรต่อหุ้นปรับเหลือเพียง 0.19 บาท จากเดิมปี 64 ที่อยู่ที่ระดับ 2.38 บาท หรือถ้าเฉลี่ยกลับไปที่ปีก่อนหน้าคือ ปี 63 ที่มี 1.37 และปี 62 ที่มี 1.30 บาท ทั้งนี้เป็นเพราะการดึงเอาห้าง Lotus เข้ามาอยู่กับ MAKRO ด้วยการจ่ายเป็นหุ้นเพิ่มทุนกลับคืนไปให้กับเจ้าของเดิม (CPALL CPF และ CPH) ได้ทำให้ผลประโยชน์ต่อหน่วยของผู้ถือหุ้น ถูกกระจายออกไปอยู่กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น 
 

*** ดังนั้น การที่จะได้เห็นราคาหุ้นของ MAKRO จะถูกดันกลับไปที่จุดหลุดดอย (43.50 บาท) อาจจะต้องรอให้ภาวะเศรษฐกิจกลับขึ้นไปอยู่ในจุดที่ดีจริงๆ เท่านั้น หรือถ้าจะให้ใครมาดัน MAKRO ด้วยระบบกำลังภายใน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้น งานนี้อาจจะต้องรอกันไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียวเจ้าค่ะ


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,781 วันที่ 8 - 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2565