PLUS ก๊วนเดิม... ติดดอยเหมือนเดิม

24 พ.ค. 2565 | 21:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By...เจ๊เมาธ์

*** PLUS หรือ บมจ. โรแยล พลัส หุ้น IPO น้องใหม่เปิดราคาในการซื้อขายวันแรกที่ 8 บาท (+77%) จากราคา IPO 4.50 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายวันแรกไปด้วยราคา 5.50 บาท (+22%) ปรับลงมาจากราคาเปิดถึง 2.50 บาท ลากเอานักลงทุน ซึ่งชอบการเก็งกำไรหุ้น IPO ขึ้นไปติดดอยได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าตลาด ซึ่งการเปิดราคาสูงๆ ก่อนที่จะถูกทิ้งลงมาในทุกราคาแบบนี้ มีความคล้ายกับ A5 ที่เจ๊เมาธ์มักจะพูดถึงบ่อยๆ จนแทบจะแยกไม่ออก
 

และทุกอย่างก็ได้เฉลยออกมาหลังจากที่พบว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 4 ของ PLUS มีชื่อว่า “ทวีรัช ปรุงพัฒนสกุล” ถือหุ้นอยู่จำนวน 33 ล้าน (4.93%) ซึ่ง “ทวีรัช” คนนี้เป็นคนเดียวกันกับ “ทวีรัช” ผู้ถือหุ้นใหญ่ในลำดับที่ 2 คนปัจจุบันของ A5 ด้วยจำนวน 165 ล้านหุ้น (13.64%) หลังจากที่มีข่าวว่า “ทวีรัช” ได้ซื้อบิ๊กล๊อตจำนวน 179 ล้านหุ้นในราคา 1.95 บาท ต่อจาก “เกรียงไกร ศิระวณิชการ” 
 

อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าหุ้น A5 จำนวน 179 ล้านหุ้นที่ว่านี้เป็นหุ้นที่ “เกรียงไกร” ขายให้ หรือ ส่งคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริงอย่าง “ทวีรัช” กันแน่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือใครก็ตามที่เข้าไปยุ่งกับคนกลุ่มนี้มักจะ “ดอย” กันแทบทุกคน

 

*** OR เป็นหุ้นที่เจ๊เมาธ์เห็นว่ามีอนาคตดีอีกหนึ่งตัว เพราะแม้ว่าธุรกิจหลักที่มาจากการขายน้ำมันเชื้อเพลิง จะเป็นจุดที่ถูกมองว่าเป็นตัวถ่วงเนื่องจากเป็นพลังงานรูปแบบเก่าที่เริ่มจะถูกทิ้ง เพราะความนิยมที่เพิ่มขึ้นของรถ EV รวมไปถึงการถูกแทรกแซงราคาจากทางภาครัฐ แต่เนื่องจากการมีตราสินค้าที่เข้มแข็งความพร้อมของเงินทุนที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ และยังรวมไปถึงความยืดหยุ่นของการทำธุรกิจ ต่างก็ทำให้เจ๊เมาธ์มั่นใจได้ว่า OR ยังไปต่อได้ โดยเฉพาะในส่วนของตลาด Non-Oil ซึ่งพบว่ามีสัดส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ในขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถ EV ก็พบว่าทาง OR มีความพร้อมที่จะต่อยอดร่วมกับบริษัทในเครือทั้งในส่วนของ PTT รวมไปถึง GPSC ทั้งในส่วนของสถานีชาร์จและเป็นดีลเลอร์รถ EV 
 

บอกเลยว่าอนาคตของ OR ยังไปได้อีกไกลมาก ขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครกล้าไปต่อด้วยหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่สำหรับเจ๊เมาธ์บอกได้เลยว่าเจ๊มั่นใจค่ะ

 

*** น่าสนใจว่า บมจ. ไบโอ กรีน เอ็นเนอร์ยี่ เทค หรือ BIOTEC หรือชื่อเดิม คือ บมจ.จุฑานาวี  (JUTHA) จะมีโอกาสไปต่อได้อีกแค่ไหน อย่างแรกคือ การเข้ามาของ นิติ ธรรมจักร รวมถึงการเริ่มธุรกิจเกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันที่ถูกเพิ่มเข้ามา เป็นธุรกิจที่มีอนาคตไกลพอสมควร ในขณะที่ธุรกิจเดิมอย่างพาณิชยนาวีเอง ก็เริ่มที่จะมีผลดีขึ้น และส่วนที่สองคือ การเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อล้างภาพจำว่า เคยเป็นบริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องกันมาหลายปี ก็ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า BIOTEC น่าจะสามารถเริ่มต้นนับหนึ่งกับความจำในชื่อใหม่นี้ได้บ้างพอสมควร 

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าเพียงแค่เปลี่ยนชื่ออาจจะไม่มีผลต่อราคาหุ้นในระยะกลางถึงยาว แต่ในกรณีนี้...เมื่อเปลี่ยนทั้งชื่อเพิ่มธุรกิจและมีทุนใหม่เข้ามา ก็อาจจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่จะดีขึ้นจริงหรือไม่ก็คงต้องตามดูกันต่อไปสักระยะเลยทีเดียว  
 

*** การกลับตัวราคาหุ้นของ STGT เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาหุ้นร่วงลงไปถึงจุดต่ำสุดที่ 17.80 บาท หลังจากที่ผลการดำเนินงาน 1/65 ลดลงไปถึง 90% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่กำไรที่ลดลงนี้ไม่ใช่การขาดทุน ดังนั้นการที่ราคาหุ้นของ STGT สามารถปรับราคากลับขึ้นมาได้จึงเป็นไปในลักษณะของการรีบาวด์ทางเทคนิคหลังจากที่นักลงทุนหายตกใจจากผลกำไรที่หายไปและมองถึงเรื่องของการนับหนึ่งรอบใหม่ของ STGT อย่างไรก็ตามสำหรับเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่าราคาหุ้นของ STGT จะยังคงย่ำอยู่ในระดับนี้ไปอีกนานพอสมควร อย่างหนึ่งก็เป็นไปตามมุมมองทีนักวิเคราะห์จากหลายสำนัก
 

ที่คาดการณ์เอาไว้ แต่อีกอย่างหนึ่งก็เป็นเพราะว่าสถานการ์และยุคทองของถุงมือยางซึ่งเป็นสินค้าหลักของ STGT น่าจะผ่านไป ผ่านไป...เหมือนกับยุคของโควิด-19 กำลังจะผ่านไปแล้วนั่นเอง 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,786 วันที่ 26 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2565