“พาณิชย์”อย่าตกหลุมผู้ประกอบการ แก้ของแพง

25 ม.ค. 2565 | 11:16 น.

ฐานโซไซตี โดย...กาแฟขม

*** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3752 ระหว่างวันที่ 27-29 ม.ค.2565 โดย..กาแฟขม


*** ยอดผู้ป่วยโควิดรายวัน ที่สายพันธุ์โอมิครอนเข้ายึดครอง 100 % ยังคงอยู่ระดับที่สูงมากกว่า 7 พัน โดยวันเสาร์ที่ 22 ม.ค.2565 ยอดผู้ติดเชื้อ 8,112 ราย วันอาทิตย์ที่ 23 ม.ค.2565 ยอดผู้ติดเชื้อ 7,668 ราย และวันจันทร์ที่ 24 ม.ค.2565 ยอดผู้ติดเชื้อลดลงมาอยู่ที่ 7,139 ราย เรียกว่าสูงเกินระดับ 7 พันสำหรับผู้ติดเชื้อ ส่วนผู้หายป่วยรอบนี้ฟังว่าหลายคนอาการไม่รุนแรง บางรายเข้ากักตัวไม่ถึงขั้นต้องใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ด้วยซ้ำ แค่ทานยาแก้หวัด หรือฟ้าทะลายโจรธรรมดา แก้เจ็บคอ ไอ หวัด ก็หาย ยอดผู้เสียชีวิตก็อยู่ในระดับต่ำ แต่ทั้งหมดแล้วประมาท “การ์ดตก” ไม่ได้ เลี่ยงได้เป็นดีที่สุด อย่านำพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงมากนัก คาถาปลอดภัยแม้ไม่ 100 % ท่องไว้ให้ขึ้นใจพร้อมปฏิบัติ หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย และให้เร่งไปบูสเตอร์วัคซีนเข็ม 3 กันเสีย อันนี้ถ้าติดมาผ่อนหนักให้เป็นเบา

*** โควิด-19 ยืดเยื้อยาวนาน ก่อนจะเป็นโรคประจำถิ่นอย่างที่กูรูวิเคราะห์คาดการณ์ แต่ระหว่างทาง บริษัทประกันภัย ที่ทำกรมธรรมม์ เจอ จ่าย จบ ทั้งยักษ์เล็ก ยักษ์ใหญ่ จ่อม้วนเสื่อไปหลายราย ที่ยังเหลือรอดได้ ถ้ารับกรมธรรม์โควิดมากๆ เข้าก็ต้องเพิ่มทุน ขาดทุนบานตะไท แว่วว่าจะมียักษ์ใหญ่ประกันต้องถึงขั้นเลิกกิจการ ประกาศโอนกรมธรรม์อื่นให้อีกบริษัท ไม่ให้กระทบผู้ถือกรมธรรม์อื่น คะเนกันว่าติดกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ที่ยังค้างพอร์ตเป็นหลายหมื่นล้านที่ต้องเคลมกัน ผู้คุมกฎอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยก็ยืนแข็ง ไม่ว่าจะพันธุ์ไหน หนัก เบา แน่นอนก็ต้องปกป้องผู้บริโภคว่าไปตามกฎข้อบังคับ ข้อกฎหมาย แต่ต้องมองอีกด้านในแง่การทำธุรกิจให้อยู่รอดปลอดภัยกันด้วยก็จะดี ลองหาทางกันดู


*** ทุกข์ของคนไทยยามนี้ นอกจากโควิดแล้ว เห็นจะเป็นเรื่องข้าวของแพง ที่ประชาชีบ่นกันทั้งบาง และที่แพงส่วนใหญ่เป็นของจำเป็นทั้งนั้น หมู ไก่ น้ำมันพืช เสียงบ่นเลยไปที่กระทรวงพาณิชยน์เยอะหน่อย ในการจัดการแก้ของแพง ทำอะไรอยู่ ได้ทำไหม ทำได้ไหม ทำถูกไหม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กลายเป็นตำบลกระสุนตก ต้องรับบทหนักหน่อย ด้วยเหตุว่าไปทิ่มรัฐบาลก่อนหน้าคสช.เอาไว้เยอะคราวนู้น เลยถูกขุดมาย้อนศรเข้าให้ ก็ต้องก้มหน้าก้มตาแก้ไป เมื่ออยู่ในหน้าที่ แต่จะแก้ทั้งทีก็ให้ถูกทิศถูกทาง การแทรกแซงตลาดบางๆ อาจไม่ได้ผล การคุมแบบตึงเปรี๊ยะก็ทำไม่ได้ กลายเป็นทำอะไรได้ยาก ลำบากไปเสียหมด วิธีการอาจต้องฟังเสียงให้รอบทิศ ฟังชาวบ้าน ฟังนักวิชาการมีคนหวังดีช่วยคิด ช่วยแก้เยอะ เอามาประมวลตัดสินใจทำดู ฟังที่ปรึกษาให้น้อยหน่อยก็คงจะรับมือได้กระมัง 

*** คุมเพิ่ม ครม.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ล่าสุดก่อนบินไปซาอุดิอาระเบียเห็นชอบ กำหนดสินค้าควบคุมปี 2565 จำนวน 5 รายการ เพิ่มมาอีก 1 รายการจากปีก่อน อันว่า 4 รายการเดิมนั้นมีหน้ากากอนามัย ใยสังเคราะห์ใช้ผลิตหน้ากาก แอลกอฮอล์ล้างมือ กระดาษและเศษกระดาษ ของใหม่คุมไก่ เนื้อไก่เข้าไปอีก 1 ด้วยเหตุราคาสูง เป็นโปรตีนสำคัญ อย่าได้ฉวยโอกาสขึ้นราคาตามเนื้อหมูที่อยู่ในบัญชีคุมมาก่อนแล้ว รวมเบ็ดเสร็จที่อยู่ในบัญชีสินค้าและบริการควบคุมปีนี้ 56 รายการ ว่าแต่ว่าหมูและเนื้อหมูที่อยู่ในบัญชีคุมมาก่อนแล้ว นี่คุมยังไงถึงขึ้นเอาๆ ไม่มีสัญญาณ ไม่มีอุณหภูมิ ไม่มีสิ่งบ่งชี้ให้ดูให้จัดการเลยหรือ หรือแค่ขึ้นบัญชีคุมเฉยๆ
 

*** พุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ผลปาล์มเกษตรกร ขายกันล่าสุด 12 บาทต่อกก.จะไป 13 บาทต่อกก. สูงสุดในประวัติศาสตร์มะรอมมะร่อ แต่ขอให้ได้อานิสงส์เกษตรเต็มเม็ดเต็มหน่วยเถิด ที่พุ่งที่แพงเพราะเดือนนี้ เดือนหน้าผลผลิตออกน้อย ราคาก็ขึ้น ส่งผลราคาน้ำมันปาล์มขวดก็แพงขึ้นอย่างที่ว่าข้างต้นไปด้วย อันนี้แหล่ะที่จุรินทร์ ต้องดูให้ออก ดูสต็อกและราคาในแต่ละเดือน ถ้าเดือนก่อนต้นทุนน้ำมันปาล์มสกัดต่ำ โรงกลั่นซื้อราคาต่ำเก็บสต็อกไว้เอามาขายในช่วงนี้ ก็ไม่ควรให้น้ำมันพืชปาล์มปลายทางขึ้นราคาสูงตามไปด้วย อันนี้ก็ไม่ต่างจากเนื้อหมู ที่เขาเก็บสต็อกแช่แข็งไว้ในราคาไม่สูงมาก แต่พอสถานการณ์ถีบให้ราคาสูงขึ้น พวกก็เอาสต็อกมาขายในราคาสูงปัจจุบัน เรียกว่าปล่อยของฟันกันหูฉี่ แบบนี้ชาวประชาช้ำชอก ฉะนั้นกระทรวงพาณิชย์สต็อกต้องแม่น เคาะเดียวต้องจบ รู้จำนวน อยู่ที่ไหน เท่าไหร่ กระขายอย่างไร ค่าขนส่งเท่าไร ถึงมือผู้บริโภคต้องเท่าไร บริหารซ้อนเอกชนตลอดสายทางการผลิต ในยามแบบนี้จึงจะเอาอยู่ เอาทัน อย่าไปภูมิใจกับการไล่จับ พวกปลาซิว ปลาสร้อย ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ต้องบริหารจัดการทั้งประเทศให้ได้


***คลอดแล้วคนละครึ่งเฟส 4 และพ่วงมากับอีก 2 โครงการประชานิยม ดูแลประชาชน อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมต.คลัง เสนอครม.เคาะมา 44,000 ล้านบาท โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ตั้งแต่ 1 ก.พ.-30 เม.ย. 65 แต่ปรับลดวงเงินคนละครึ่งเหลือ 1,200 บาทต่อสิทธิ์ นัยว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น คนมีงานทำมากขึ้น ธุรกิจกลับมาเปิดตัวมากขึ้นมีรายได้มากขึ้น ก็ปรับลดวงเงินลงมาว่าอย่างนั้น ก็ขอให้ไปต่อได้ตามเป้าหมาย ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ว่าแต่ว่าที่บอกว่าดีบอกว่าฟื้นนั้นมันอยู่ตรงไหน เมื่อหันมองทางไหน ผู้คนยังหงอยเหงาเซื่องซึมกันอยู่ทั้งบางอยู่นา ฯพณฯ