เก็บภาษีหุ้น แก้ไม่ถูกจุด ได้ไม่คุ้มเสีย (นะจ๊ะ)

12 ม.ค. 2565 | 00:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** บอกตรง ๆ  ว่าเจ๊เมาธ์ปวดหัวและมึนกับ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมสรรพากร ตลอดจน อาคม เติมพิทยาไพศิฐ รมต.คลัง คิดอย่างไรกับนโยบายการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น โดยไม่สนใจว่าการขายนั้นผู้ขายจะขาดทุนหรือกำไรจากการขาย อันที่จริงระดับนี้น่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตลาดหุ้นและการลงทุนดี และต้องเข้าใจว่า ระหว่าง “การส่งเสริมและการทำลาย” มันไม่เหมือนกัน 
 

“เอกนิติ” รู้หรือเปล่าว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งอ่อนไหวและยังต้องพึ่งพาเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศอีกมาก ลืมไปหรือเปล่าว่า ประเทศไทยไม่ได้ยืนเป็นที่หนึ่งในโลก ประเทศนี้ยังต้องแข่งขันและคิดนโยบายดี ๆ ขึ้นมา เพื่อส่งเสริมและดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาพัฒนาประเทศให้ได้มากที่สุด
 

รัฐจะต้องส่งเสริมให้มีการลงทุนด้วยการรักษานักลงทุนรุ่นเก่าและส่งเสริมให้มีนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้น เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาลที่นักลงทุนทั่วโลกจะต้องวิ่งเข้าหา บางทีต้องเปลี่ยนมุมคิด ไม่ใช่ตูดขาด แล้วหาเงินมาโปะด้วยการทำแบบนี้ แต่อาจมีผลให้คลังรัฐว่างเปล่าลงไปเรื่อยๆ ก็ได้ ถ้าไม่มีนักลงทุนต่างชาติมาหรือกระทั่งนักลงทุนไทยหนี กลายเป็นหวังดีประสงค์ร้ายไปก็ได้ ระวังๆ กันนะจ๊ะ วันนี้กระแสความไม่พอใจก่อตัวมากขึ้นทุกวัน...ทุกวันเจ้าค่ะ
 

*** เจ๊เมาธ์ ขอสนับสนุนความคิดเห็นของ “มาดามเดียร์ - วทันยา วงษ์โอภาสี” เจ้าค่ะ ในฐานะที่ “มาดามเดียร์” เป็นส.ส.อยู่ในคณะกมธ.คลัง  มีความเข้าใจ เห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการเก็บภาษีหุ้น-ภาษีคริปโต ...เจ๊เมาธ์ เชื่อค่ะว่า เรื่องนี้ต้องขยายเข้าสู่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ที่ไม่ควรนิ่งดูดาย อย่างน้อยต้องแสดงความคิดเห็น ผลดี-ผลเสีย ของการเก็บภาษีหุ้น-คริปโต และเรียกร้องให้มีการแสดงความคิดเห็น หรือเฮียริ่ง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องค่ะ เพื่อรักษาตลาดทุนของไทย ให้เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญของภาคเอกชน ในยามที่ต้องพึ่งตัวเอง ไม่สามารถพึ่งรัฐบาลได้  
 

*** ว้ายยย...อยู่ดี ๆ ก็มีหมายศาลที่ฟ้องโดย NCL ร่อนมา ประมาณฟ้องศาลว่า บ.ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย ไปกล่าวหาว่า NCL ปั่นหุ้นอะไรแบบนั้น โธ่ ๆๆ คุณขาา จะปั่นหรือไม่ปั่น มันก็เห็นอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นนะคะ ก็เอาเป็นว่า นับตั้งแต่ซีอีโออย่าง “กิตติ พัวถาวรสกุล” ได้เปิดทางให้ผู้บริหารชุดใหม่ที่มี “สายหวาน” ค่ะขา “พงษ์เทพ วิชัยกุล” เข้ามานั่งเป็นซีอีโอ หุ้นที่เคยนิ่งอย่าง NCL ก็เริ่มมีข่าวเริ่มเชียร์ประมาณว่าอนาคตจะเป็นสีทอง...ดีอย่างนี้-อย่างนั้น จนทำให้มีนักลงทุนจำนวนมากเสียหายยับเยิน...ติดหุ้นงอมแงม ไม่รู้ว่าจะหลุดออกไปตอนไหน  ไม่แค่นี้ แต่ยังมีเรื่อง สร้างภาพ ถ่ายรูปจับมือสร้างภาพพันธมิตรธุรกิจขึ้นมา ปาหี่นักลงทุน ซึ่งเรื่องนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” ในฐานะของสื่อมวลชนที่พูดเรื่องจริงอยู่เสมอ ก็แค่นำเสนอข่าวไปตามความเป็นจริงไปก็เท่านั้น เรื่องมันก็มีแค่นี้เองนะคะ ...ไม่ได้ทำผิดไม่ต้องร้อนตัวเจ้าค่ะ อิอิอิ  

*** หุ้นกลุ่มประกันภัยที่เจ๊เมาธ์บอกไปว่า ราคาแรงเกินพื้นฐานก็ถูกเทขายจนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TIPH ดูเหมือนอาการจะหนักกว่าใคร ซึ่งสาเหตุที่ถูกขายก็ไม่ใช่เพราะเรื่องความเสี่ยงที่เกิดจากการกลับมาของโควิดสายพันธุ์ใหม่ หรือ ความเสี่ยงกับภาวะเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่สาเหตุที่ถูงเทขายเป็นเพราะราคาหุ้นถูกดันขึ้นมาจนถึงจุดที่มันต้องถูกทำกำไร เพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากที่ผ่านมานอกจากการปรับเปลี่ยนชื่อเพิ่มคำว่า Holding เข้ามาแล้ว นอกจากนี้ไม่มีความเปลี่ยนแปลงและไม่มีปัจจัยพื้นฐานใหม่อื่นใดเข้ามามารองรับเลย  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีลง...มันก็ต้องมีขึ้น เพียงแต่เมื่อลงไปมากๆ มันก็อาจจะกลับมาที่เดิมได้ยากหรืออาจจะช้าบ้างเป็นธรรมดา ของแบบนี้ถ้าชอบก็ต้องทำใจเจ้าค่ะ
 

*** ก่อนหน้านี้หลายคนพูดกันว่า ถ้าอยากมีกำไรจากการรวยหุ้น ไม่ต้องคิดอะไร เพียงแค่ซื้อหุ้นตระกูล J ก็ทำกำไรได้ ซึ่งคำบอกเล่าที่ว่านี้ก็ทำให้หุ้นแม่ลูกตระกูล J อย่าง JMART JMT และ SINGER ต้องเดินทางมาถึงจุดที่ถูกขายทำกำไรที่เกิดจากฟองสบู่ตัว J ด้วยเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีราคาปรับยขึ้นมากว่า 1,000% และมีค่าพีอีเฉลี่ยราวๆ 70 เท่าทั้งหุ้นแม่หุ้นลูก ซึ่งค่าพีอีที่ว่านี้มันสูงเกินค่าเฉลี่ยของหุ้นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเป็นเท่าตัว และเมื่อมันฉีกออกมาไกลเกินกว่าค่ากลางมากเกินไปก็หมายถึงความเสี่ยงที่มีก็สูงตามขึ้นไปด้วย ขณะเดียวกันหุ้นตัวแม่อย่าง JMART ธุรกิจที่ทำอยู่ก็มีแต่จะถอยหลังเพราะผ่านจุดดีที่สุดมาแล้วหลายปี...ที่อยู่ได้ปัจจุบันก็อาศัยแค่เพียงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกเท่านั้น
 

ที่เจ๊เมาธ์เล่าให้ฟังก็แค่จะบอกว่าสัญญาการปรับราคารอบนี้ ดูแล้วแรงกว่าที่ผ่านมา ระวังเอาไว้บ้างมันก็ไม่เสียหายอะไรนะคะ จับตาดูเอาไว้ก็ดีค่ะ
 

***เจ๊เมาธ์อยากให้จับตาดู GLORY เอาไว้ให้ดี เพราะนอกจากเรื่องของธุรกิจการทำหนังสือออนไลน์กำลังไปได้ดี ก็ยังมีสาเหตุมาจากการขายหุ้น IPO จำนวนเพียงแค่ 70 ล้านหุ้น ซึ่งทำให้จำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดที่มีค่อนข้างน้อย ซึ่งเมื่อมีจำนวนหุ้นที่น้อยมากก็จะทำให้การขยับขึ้นไปในแต่ละช่องราคาเป็นไปได้ง่ายมากกว่าปกติ ไม่อยากจะเชียร์อะไร...แต่อยากจะบอกว่าโมเดลการขยับราคาด้วยหุ้นที่มีประมาณน้อยๆ แบบนี้มันเห็นผลมาหลายบริษัทแล้วนะคะ แนะนำว่า จับตาดู GLORY เอาไว้ให้ดีค่ะ