Evergrande วิกฤติจริง..หรือจีนจัดฉาก

05 ต.ค. 2564 | 23:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** การถูกสั่งระงับการซื้อขายหุ้น 3 ตัว ในตลาดหุ้นฮ่องกง ประกอบไปด้วย Hopson Development, Evergrande และ Evergrande Property Services Group หลังจากที่มีข่าวว่า บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฮ่องกงที่ชื่อว่า Hopson Development ได้ยื่นข้อเสนอเข้าซื้อกิจการ Evergrande Property Services Group ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Evergrande ในมูลค่าราว 1.7 แสนล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้น 51% ทำให้ประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ถูกจับตามองอีกครั้งว่า ในท้ายที่สุดแล้วปัญหานี้จะถูกจัดการอย่างไร
 

แน่นอนว่าถ้าหาก Evergrande มีปัญหาถึงขั้นล้มละลายจะทำให้เศรษฐกิจของจีนได้รับผลกระทบกระเทือน และหากเศษฐกิจของจีนมีปัญหา ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกตามมาด้วยเช่นกัน แต่มีบางกระแสก็วิเคราะห์ว่ากรณีของ Evergrande เป็นการจัดการของทางการจีนเพื่อที่จะลดบทบาทและอิทธิพล รวมถึงการปรับพฤติกรรมในการดำเนินธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ให้ลดน้อยลง 
 

ตัวอย่างนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วจากกรณีของ “แจ็คหม่า” อดีต CEO ของ Alibaba ที่ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน Ant Group บริษัท Fintech ในเครือ Alibaba ก็โดนสั่งเบรก IPO แค่ไม่กี่วันก่อนเข้าทำการซื้อขาย ล่าสุดก็ยังมีเรื่องของบริษัทสื่อโทรทัศน์ท้องถิ่นในเครือ Alibaba ก็กำลังโดนจัดการเช่นกัน
 

ขณะเดียวกัน Tencent Holdings ก็เป็นอีกบริษัท ที่ถูกผู้สังเกตการณ์การต่อต้านการผูกขาดของจีนเฝ้าจับตามอง นอกจากนี้บริษัทเทคโนโลยีอีกหลายแห่งก็ถูกเตือนให้ปรับพฤติกรรมในการดำเนินธุรกิจ เช่นกรณีของแอปส่งอาหาร Meituan, แอปเรียกแท็กซี่ Didi และบริษัทใหญ่ๆ ในธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา ต่างก็เจอมาตรการเข้มงวดจนราคาหุ้นร่วงระนาว  

นี่ยังไม่รวมเอาบริษัทอีกหลายแห่งที่ถูกมองว่า “แตกแถว” หรือจะหนีไประดมทุนจากต่างประเทศ ที่กำลังถูกจับตามอง
 

อย่าลืมว่าขณะนี้จีนกำลังขยับขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับสหรัฐในแทบทุกเรื่องทั้งด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ดังนั้น ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของจีน จึงเป็นเรื่องที่ควรจะรู้เอาไว้บ้าง เพราะเมื่อยักษ์ใหญ่ขยับตัวผลกระทบก็จะอยู่ใกล้ตัวเราเสมอนั่นเองเจ้าค่ะ 
 

** เจ๊เมาธ์มองว่า PTTEP เป็นบริษัทที่น่าสนใจมาก เพราะจะได้รับอานิสงส์ทางตรงมากกว่าใครจากราคาน้ำมันขาขึ้น ขณะที่ความไม่แน่นอนจากข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน รวมทั้งนโยบายด้านพลังงานสะอาดของจีนทำให้เกิดวิกฤติพลังงานขาดแคลน จนทำให้จีนต้องเร่งนำเข้าพลังงานแทบทุกประเภทกลายเป็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบยังจะเคลื่อนที่ในระดับราคานี้ไปอีกจนถึงปลายปี 64 ซึ่งหากนำราคาหุ้นของ PTTEP ในปัจจุบันไปเทียบราคาหุ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระนาบเดียวกันนี้ เมื่อหลายปีก่อน ก็จะพบว่าระดับราคา 150-160 บาท ถือว่าเป็นระดับราคาที่มีความเป็นไปได้ไม่ยากนัก 
 

เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์แนะนำว่าต้องจับตาดูให้ดี โอกาสที่ PTTEP จะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งได้มาถึงแล้ว ถ้าไม่เกาะให้ดีมีโอกาสจะตกรถนะคะ 

*** แม้ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับขึ้นสูงที่สุดในรอบ 4 ปี ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นมากจนอาจทำให้ภาครัฐต้องเข้ามาควบคุมราคาค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงหน้าสถานีบริการ อย่าง OR และ PTG ซึ่งจะมีผลต่อค่าการตลาดและกำไรขั้นต้นของบริษัทที่ทำธุรกิจปั๊มน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้รายได้ที่มาจากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากมาร์จิ้นจากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงมีมูลค่าต่ำ ดังนั้นผลกระทบที่แท้จริงจึงอาจไม่มากอย่างที่คิด
 

ขณะเดียวกันทั้ง OR และ PTG ต่างก็พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจที่ต้องพึ่งรายได้จากการขายน้ำมันเชื้อเพลิง หันมาสร้างรายจากค่าเช่าพื้นที่และรายได้จากการขายสินค้าอื่นทดแทน ซึ่งการมีรายได้จากช่องทางอื่นที่มากขึ้นจะทำให้สามารถลดผลกระทบจากการควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของทางภาครัฐได้เช่นกัน 
 

ดังนั้นการที่ราคาหุ้นของทั้ง OR และ PTG ปรับตัวลดลงมาในรอบนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่ต้องการเก็บหุ้นยาว หรือไม่ก็เป็นราคาที่น่าจะเข้าซื้อถัวเพื่อลดต้นทุนที่ติดดอยอยู่เช่นกันเจ้าค่ะ 
 

*** หุ้นน้องใหม่อย่าง บมจ.ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี หรือ SVT เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ใช้เกมในการเปิดราคาต่ำที่ 2.88 บาท (13.39%) จากราคาจองซื้อ (IPO) ที่ราคา 2.54 บาทต่อหุ้น ก่อนที่จะไล่ราคาขึ้นไป 3.98 บาทในการเปิดการซื้อขายในภาคเช้าเป็นเกมการไล่ราคาหุ้นแบบนี้ที่นานๆ ครั้งถึงจะได้เห็น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายจำนวน 200 ล้านหุ้น มีจำนวนที่ไม่มากจนเกินไป ขณะที่ธุรกิจการค้าปลีกผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) ภายใต้ บมจ.สหพัฒนพิบูล และ บริษัทในเครือ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณา 
 

สำหรับตัวเจ๊เมาธ์ ให้ความสำคัญกับการขายเปิด (ATO) แล้วค่อยมาเก็บหุ้นใหม่อีกครั้ง ไม่มีความเสี่ยงจากราคาหุ้นเปิดตลาดปรับตัวลง เพราะหากเทียบอัตราส่วนก็จะพบว่า โอกาสที่หุ้น IPO ถูกไล่ราคาขึ้นมาจากราคาเปิดตลาดเช่นเดียวกับที่ SVT มีอยู่น้อยมากนั่นเองเจ้าค่ะ 
 

ฉบับหน้า เจ๊เมาธ์ มีเรื่องเมาธ์ มันๆ รับรองตื่นเต้นไม่แพ้น้ำท่วม เรื่องโกง ๆ ของนักบุญ-คนบาป...จุ๊!!!! ไม่พูดๆ อุบไว้ฉบับหน้า 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,720 วันที่ 7 - 9 ตุลาคม พ.ศ. 2564