"สลิ่ม" กับ "สะเหล่อ"

18 ส.ค. 2564 | 04:37 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน โดย... ประพันธุ์ คูณมี

ผมได้ยินคนพูดถึงคำว่า "สลิ่ม" มาเป็นระยะๆ นานพอสมควร ส่วนมากมักจะออกมาจากปากพวกที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มประชาชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ หรือ มาจากพวกนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่นิยม "ระบอบทักษิณ" แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการพูดจาเสียดสี หรือ ด้อยค่าใคร ด้วยเหตุผลอะไร และไม่ทราบว่า "สลิ่ม" มันไปหนักกะบาลใคร หรือไปทำอะไรให้บรรพบุรุษเขาเดือดร้อนอย่างไร แต่เมื่อได้ยินคนพูดถึงคำคำนี้ในเชิงดูหมิ่นเสียดสี ทำให้รู้สึกคันปากอย่างพูด แต่ก็ต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนั้นเสีย เพราะพูดไปสองไพเบี้ย


ต่อมาในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน เมื่อมีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองของสารพัดกลุ่ม ไม่ว่าในนาม "คณะราษฏร", “กลุ่มเยาวชนปลดแอก", “แนวร่วมธรรมศาสตร์การชุมนุม" "กลุ่มทะลุฟ้า" และ กลุ่มคนเสื้อแดง หรือ แนวร่วมพวกปฏิรูปสถาบัน ตลอดสารพัดกลุ่มที่อ้างตนเป็นคนรุ่นใหม่ ออกมาแสดงตนสำแดงฤทธิ์เดชทางการเมืองแบบถ่อยเถื่อนในปัจจุบัน 


และมีบรรดาดารา นางแบบ นางงามบางคน แม้กระทั่งนักร้อง นักกีฬาทีมชาติ เด็กๆ ที่อยากแสดงตนอวดความโง่เขลาเบาปัญญา ที่พยายามออกมาแสดงตัวตนว่าเธอไม่ใช่พวก "สลิ่ม" ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง ต่างดาหน้าออกมาพูดในทางประณามด้อยค่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของพวกตน ที่ชุมนุมแบบถ่อยเถื่อน หยาบคาย ก่อความวุ่นวาย จลาจล ด้วยการละเมิดกฎหมายและใช้ความรุนแรงที่ปราศจากเหตุผล 
 

ที่สำคัญคือ มีการเคลื่อนไหวที่ล่วงละเมิด ดูหมิ่น หรือ หมิ่นประมาท อาฆาต มาดร้าย และก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนเลยเถิดกลายเป็นม็อบล้มเจ้า ดังปรากฏขณะนี้ เมื่อคนจำพวกนี้พูดถึงคนที่ไม่ออกมาร่วมกับพวกเขาว่าเป็นพวก "สลิ่ม" โดยให้ความหมายและนิยามให้เข้าใจว่าคือ พวกที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา ผมจึงได้เข้าใจความหมายของคำว่า "สลิ่ม" และถึงบางอ้อในวันนี้นี่เอง


ยอมรับตามตรงครับ ผู้เขียนเพิ่งจะเข้าใจความหมายที่พวก “ม็อบสามกีบ” กล่าวหาคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับตนว่าเป็น "สลิ่ม" นั้นมีหมายความว่าอย่างไร เมื่อตอนที่เกิดม็อบถ่อยเถื่อนขึ้นมานี่เอง 


ถ้าหากจะให้สรุปง่ายๆ ให้ชัดเจน คนที่ถูกเรียกว่า "สลิ่ม" ก็คือคนที่มีความคิดเห็นอยู่ตรงข้ามและไม่เห็นด้วยกับพวก “ม็อบสามกีบ” ไม่นิยมและไม่เห็นด้วยกับพวกม็อบล้มเจ้า ที่ต้องการเปลี่ยนระบอบการเมืองการปกครอง จากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐแบบมีประธานาธิบดีนั่นเอง


"สลิ่ม" คือพวกที่ไม่เห็นด้วยกับพวกม็อบที่ต้องการปฏิวัติสังคมเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยอ้างว่าต้องการล้มเผด็จการ นายทุน ขุนศึก ศักดินา โดยมองไม่เห็นว่าอนาคตประเทศจะเป็นอย่างไร 

"สลิ่ม" คือพวกที่ออกไล่รัฐบาลโกง นักการเมืองชั่ว ที่ทุจริตคดโกง เพื่อปกป้องประโยชน์ชาติ โดยไม่ยอมก้มหัวให้นักการเมืองชั่ว พวกนักธุรกิจการเมืองจอมโกง 


"สลิ่ม" คือพวกตรงกันข้ามและไม่เห็นด้วยกับพวกชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง โดยอ้างประชาธิปไตยบังหน้า แต่รับใช้ "ระบอบทักษิณ" 


"สลิ่ม" คือพวกที่รังเกียจพวกที่ด้อยค่าประเทศชาติของตน ไม่เคารพบรรพบุรุษ ไม่ให้เกียรติผู้อาวุโสและผู้ประกอบคุณงามความดีในแผ่นดิน แม้แต่ทหารนักรบ วีรชน ผู้พลีชีพปกป้องชาติ พวกตรงข้ามกับ "สลิ่ม" ยังบังอาจหยามหมิ่น ไม่เคารพไม่ให้เกียรติ ไม่ยึดมั่นในวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศตน 


"สลิ่ม" คือคนที่รักชาติ รักแผ่นดิน ยึดมั่นในชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งชีวิตจิตใจ ไม่ใช่พวกชังชาติ หรือ ยอมก้มหัวยกย่องบูชาพวกตะวันตก พวกลัทธิล่าอาณานิคม ที่ชอบเอาเสรีภาพที่โง่เขลา ประชาธิปไตยจอมปลอม ไปยุยงปลุกปั่นเด็กๆ และเยาวชน ให้ทำร้ายประเทศชาติตน เหยียบย่ำรุกรานไทยแบบไม่ลืมหูลืมตา 


การเป็น "สลิ่ม" ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงไม่มีอะไรที่ต้องละอาย ตรงข้ามกลับเป็นสิ่งที่น่ายกย่องชื่นชม สำหรับคนที่เกิดเป็นคนไทย เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาเป็น "สลิ่ม" และเพราะความเป็น "สลิ่ม" ที่ต้องยืนอยู่ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมและความเลวร้ายทั้งหลายดังกล่าวแล้ว ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง 


และผู้เขียนขอเป็น "สลิ่ม" ด้วยคน และพร้อมประกาศยืนยันว่าไม่เคยคิดจะกลับใจ ที่จะไปยืนอยู่อีกฝั่งแห่งความชั่วร้าย จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะไม่ต้องการเป็นคน "สะเหล่อ" ที่ไร้ค่าต่อแผ่นดิน ที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีค่าแค่เป็นเครื่องมือของคนชั่วนักการเมืองโกงแผ่นดิน


"สลิ่ม" จะจดจำเสมอว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยมีพระบรมราโชวาทเรื่องบ้านเมืองว่า "บ้านเมืองของเรามีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"


หากพวกเราคนไทยยึดถือและเข้าใจ ปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทดังกล่าวได้ บ้านเมืองของเราคงไม่วุ่นวายดังที่เห็นและเกิดขึ้นในทุกๆ วันนี้ ที่มีคน "สะเหล่อ" ออกมาป่วนประเทศเป็นรายวัน 


การที่คนจำนวนหนึ่งตั้งตนเป็นคนเก่ง คนทันสมัย มีความคิดก้าวหน้า อวดอ้างตัวเองจะมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง วางอนาคตประเทศชาติ ออกแบบสังคมใหม่ให้คนไทย ทั้งที่โง่เขลา เบาปัญญา เพิ่งลืมตาดูโลกเพียงเศษเสี้ยว เหมือน "กบในก้นบ่อ" อ้างตนเป็นคนดีคนเก่ง ก้าวหน้าทันสมัย ดูถูกดูแคลนด้อยค่าคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับความคิด ความเชื่ออันงมงายของตน ที่ถูกผู้อื่นชักใย 


แถมยังบังอาจสั่งสอนตำหนิคนอื่นว่า เลวร้าย ไร้ค่าไปเสียทุกอย่าง พวกตัวเองดีหมดทุกเรื่อง คนที่ไม่รู้แยกดีแยกชั่ว ไม่รู้แยกผิดถูก ไม่รู้จำแนกคนดีกับคนไม่ดี แต่คิดอยากจะปกครองบ้านเมือง คนเช่นนี้ในบ้านเมืองเรามีมากขึ้นทุกวัน 


การจะจำกัดคนเลวไม่ให้ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ทำลายความปรกติสุขของสังคม จึงเป็นเรื่องที่จะต้องทำไปพร้อมๆ กันกับการส่งเสริมคนดี ให้คนดีมีโอกาสปกครองบ้านเมือง หากไม่กำจัดคนเลวไม่ให้มีที่ยืนในสังคม คนดีๆ ทั้งหลายย่อมอยู่ด้วยความไม่สงบสุข


การที่สังคมทุกวันนี้ เต็มไปด้วยคนดีที่ต้องเดินตามตรอก ขี้ครอกเดินเต็มถนน คนที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์กับประเทศชาติ นักวิชาการ นักการเมือง และคนเลวรุ่นใหม่ที่โง่เขลา ต่างขยันพูดขยันโพสต์อวดอ้างแสดงตนเป็นผู้ทรงภูมิปัญญา และใช้อวิชชาบิดเบือนกลับขาวเป็นดำ ทำผิดให้เป็นถูกกลับชั่วให้เป็นดีเช่นนี้ โดยช่วยกันกระพือให้สังคมเข้าใจว่า คนที่อยู่ตรงข้ามกับตนเป็นพวก "สลิ่ม" คือเป็นคนไม่ดีที่ทำลายบ้านเมือง ด้วยความพยายามบิดเบือน สร้างชุดความคิดและข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จต่อสังคมนั้น คนจำพวกนี้ต่างหากที่ควรเป็นคนต้องถูกประณาม เพราะคนที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็น "สลิ่ม" ไม่เคยสนับสนุนคนชั่ว คนโกง คนทรยศประเทศชาติ ประชาชน หรือคนไม่ดีให้ปกครองบ้านเมือง 


การเป็น "สลิ่ม" ด้วยความจงรักภักดี ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจ ยิ่งกว่าพวก "สะเหล่อ" ถ้ามีใครอยากรู้หรือถามหาว่าใครเป็น "สลิ่ม" บ้าง ก็จงยืดอกประกาศให้รู้เสียเลยว่า กูนี่แหละคือ "สลิ่ม" และจะไม่ยอมเป็นพวก "สะเหล่อ" อีกต่อไป แล้วไง?