APEC CEO Summit คึก “แฮร์ริส-มาครง” พร้อม 5 ผู้นำตอบรับร่วมงาน

14 พ.ย. 2565 | 13:01 น.

APEC CEO Summit คึกคัก “แฮร์ริส-มาครง” พร้อม 5 ผู้นำตอบรับร่วมงาน  ตั้งเป้าส่งเสริมการเปิดเขตเสรีการค้าการลงทุน สังคมและการพัฒนาในทุกมิติ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยถึงความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ APEC ของประเทศไทยในสัปดาห์นี้ ซึ่งภาคเอกชนได้มีการประชุมและจัดการสัมมนาที่สำคัญเช่นเดียวกันกับภาครัฐ

 

โดยงานใหญ่ของฝั่งภาคเอกชน ที่ กกร. เป็นเจ้าภาพ คือ การประชุม APEC CEO Summit ในวันที่ 17-18 พฤศจิกายน นี้ เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของเอเปคจาก 21 เขตเศรษฐกิจ โดยจะมีการเชิญผู้นำ และบุคคลสำคัญระดับโลกทั้งจากภาครัฐและเอกชน ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ได้รับการตอบรับจากผู้นำเป็นจำนวนมาก โดยเป้าหมายหลักในการจัดงานครั้งนี้ คือ การส่งเสริมการเปิดเขตเสรีการค้าและการลงทุน รวมถึงความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนาในทุกมิติ

 

สนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 

ทั้งนี้แม้การตอบรับอย่างเป็นทางการจะยังอยู่ในกระบวนการ แต่ ณ เวลานี้ สามารถแจ้งได้ว่า ผู้นำเขตเศรษฐกิจที่ยืนยันอย่างเป็นทางการในการเข้าร่วมงาน เช่น นางกามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นางสาวจาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ นายเอมานูว์แอล มาครง (Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีฝรั่งเศส นายเหงียน ซวน ฟุก (Nguyen Xuân Phúc) ประธานาธิบดีเวียดนาม นายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นายโฮเซ เปโดร กัสติโย เตร์โรเนส (José Pedro Castillo Terrones) ประธานาธิบดีเปรู, นายกาบริเอล โบริก ฟอนต์ (Gabriel Boric Font) ประธานาธิบดีชิลี

รวมทั้ง ผู้นำองค์กรระดับโลกอย่าง นายโรเบิร์ต อี มอริตซ์ ประธาน บริษัท PricewaterhouseCoopers ศาสตราจารย์เคลาส์ มาร์ติน ชวับ (Klaus Martin Schwab)  ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร World Economic Forum (WEF)  เข้าร่วม เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ซีอีโอไทยชั้นนำ อาทิ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ยังจะร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะและการฉายภาพความเป็นผู้นำของธุรกิจไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่เวทีโลก

 

สำหรับโอกาสของคนไทยและเศรษฐกิจไทยนั้น การเป็นเจ้าภาพจัดประชุม APEC CEO Summit 2022 จะช่วยให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น และมีการพัฒนาระบบเพื่อการอำนวยความสะดวกทางการค้า และการลงทุน การลดและยกเลิกปัญหาอุปสรรคทางการค้า

รวมทั้งการเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยให้เข้าสู่ระบบการค้าโลกได้ เป็นการสนับสนุนการนำไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค นอกจากนั้น ยังจะช่วยเปิดโอกาสด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ให้แก่ผู้ประกอบการ และคนไทย

 

เฉพาะอย่างยิ่งการรวมตัวของผู้นำ บุคคลสำคัญ รวมทั้งซีอีโอ จากทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชนระดับโลก ที่ได้รับการเรียนเชิญเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางธุรกิจในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางเศรษฐกิจของโลก นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทยและคนไทยทุกคน ที่จะได้รับรู้และรับทราบการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เนื่องจาก APEC คือเขตเศรษฐกิจที่มี GDP รวมกันไม่ต่ำกว่า 60% เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วและใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น เวทีนี้จึงมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นอย่างมาก

 

นอกจากงาน APEC CEO Summit ก็ยังมีเวทีสำคัญของ กกร. ที่จะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งประกอบด้วย การประชุม APEC Business Advisory Council – ABAC ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน ปัจจุบันมีนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค (ABAC)

 

โดย ABAC ถือเป็นหน่วยงานภาคเอกชนที่เป็นตัวแทนภาคธุรกิจที่ทำหน้าที่เสมือนที่ปรึกษา ให้คำแนะนำแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจในการดำเนินงานส่งเสริมด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งหลังการประชุมในเวทีนี้จะมีการนำเสนอประเด็นของ ABAC ต่อผู้นำเขตเศรษฐกิจ 21 เขตเศรษฐกิจ ในระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤศจิกายนนี้

 

หอการค้าไทยมองว่า การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมที่เวียนมาในรอบ 20 ปี จะทำให้นานาชาติกลับมา Focus ที่ประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งเราต้องใช้โอกาสนี้ในการขยายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการจัดทำและผลักดันการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) กับประเทศต่าง ๆ ให้มากขึ้น

 

นอกจากนี้ จะเป็นการนำเสนอศักยภาพของประเทศไทย ให้นานาชาติได้เห็นถึงความพร้อมในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งในระยะถัดไปจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการทำให้ต่างชาติเข้าใจ BCG Model ที่เป็นแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ซึ่งสอดคล้องกับ COP27 และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย

 

การจัดการประชุมครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญของไทย เพราะจะเป็นโอกาสให้ 21 เขตเศรษฐกิจ และ 3 ประเทศ ที่เป็นแขกพิเศษของรัฐบาล คือ ซาอุดิอาระเบีย เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซาอุดีอาระเบีย จะนำคณะภาครัฐและเอกชนของซาอุฯกว่า 600 คนเยือนไทย โดยมีกำหนดการพบกับนายกรัฐมนตรีของไทยในวันที่ 18 พ.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล

 

ไฮไลท์สำคัญไทย-ซาอุฯ จะมีการลงนาม MOU 2 ฉบับสำคัญ ในความร่วมมือด้านการลงทุน และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลนีและนวัตกรรม รวมถึงการจะมีเวทีจับคู่เจรจาธุรกิจกับภาคเอกชนไทย  เพื่อผลักดันการลงทุนร่วมไทย–ซาอุฯ ซึ่งหอการค้าไทยเชื่อว่าส่วนนี้จะเป็นการเปิดโอกาส ไม่ใช่เฉพาะกรอบพหุภาคี APEC หรือ ASEAN แต่ระหว่างทวิภาคีก็มีโอกาสเช่นกัน

 

ส่วนฝรั่งเศส นายเอมมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดี จะได้มีการหารือของนายกรัฐมนตรีไทย ถึงความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาไทย-ฝรั่งเศส เฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยและและพัฒนายางพารา รวมถึงการขยายการลงทุนของมิชลิน หนึ่งในผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ในไทย และรัฐบาลไทยได้เชิญสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นแขกพิเศษของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำความสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะภูมิภาคที่มีโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง แม้ว่ากัมพูชา จะไม่อยู่ในสมาชิกเอเปค แต่ในปีนี้กัมพูชาเป็นประธานอาเซียน จะเป็นโอกาสที่ได้ร่วมกันแสดงบทบาท และดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นในเอเชีย-แปซิฟิก ด้วย

 

นอกจากนี้ การตอบรับคำเชิญของ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในฐานะหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างไทยกับจีนซึ่งครบรอบ 10 ปี ในปีนี้ เพื่อนำไปสู่โอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศในปี 2568 และจะมีการหารือเพื่อเร่งรัดแผนงานต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงการค้า การลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะการเชื่อมแผน belt and road initiative ของจีน กับ พื้นที่ EEC ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วขึ้น

 

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือความยั่งยืนที่ประเทศไทยชูเรื่อง แนวคิด Bio-Circular-Green Economy Model (BCG) ที่ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ใช้ทรัพยากรชีวภาพสร้างมูลค่าเพิ่ม นำทรัพยากรชีวภาพมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้แก่การนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) คือการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน (sustainable)

 

ทั้งนี้ จากการสำรวจก่อนการประชุมนั้น พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีการตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน แต่หลายภาคส่วนยังไม่เข้าใจถึงแนวคิดและการขยายผลของ BCG  ซึ่งโอกาสนี้จะได้เป็นการสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นในวงกว้างและผู้ประกอบการสามารถเข้าใจในแนวคิดการนำ BCG ไปปรับใช้ เช่น การนำพันธุ์ข้าวต่าง ๆ มาปรับปรุง เพื่อให้ได้ข้าวคุณภาพสูง ขายได้ราคาดีในตลาดโลก เช่น ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ การนำเอาสมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจรมาผลิตสเปรย์ฉีดพ่นในปาก เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการนำเอาแนวทาง BCG มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับมูลค่า และภายใต้การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนต่อไป

 

สำหรับภาพรวมการจัดเอเปคของไทยในปีนี้ หอการค้าไทย คาดว่า จะมีแขกที่เข้าร่วมของภาครัฐ และการจัดงานของเอกชนรวมผู้ติดตามแล้วไม่ต่ำกว่า 5,000 คน คาดจะเกิดเงินหมุนเวียนโดยตรงในระบบทันทีประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท และจากการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้จะมีการออกข่าวและประชาสัมพันธ์ประเทศไทยไปทั่วโลก จะมีผลต่อความเชื่อมั่นประเทศไทย ทั้งในแง่การค้า การท่องเที่ยวและการลงทุนจากนานาชาติโดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ ซอฟต์ พาวเวอร์ของไทยให้ต่างชาติได้เห็น ประเมินผลทางอ้อมหลังจบงาน จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยร่วม 20,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ ในระหว่างการจัดประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะได้มีการนำเสนอเนื้อหาและข้อสรุปในแต่ละช่วงรายงานให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะ และภายหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ภาคเอกชนและสถาบันวิชาการจะได้มีการประเมินผลสำเร็จทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนโอกาสด้านต่าง ๆ ที่ไทยจะได้รับหลังจากการเป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในทุกมิติให้เติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไป