แรงกดดันการทูตทุบค่าเงินเยน ฉุดเสถียรภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่น

29 พ.ย. 2568 | 23:00 น.

นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นเผชิญแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจและการเงิน หลังถ้อยแถลงต่อไต้หวันทำความสัมพันธ์กับจีนตกต่ำลงสู่ระดับรุนแรง กระทบความเชื่อมั่นตลาดตราสารหนี้ ค่าเงินเยนอ่อนแรง และเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังท่ามกลางภาระหนี้สาธารณะ

KEY

POINTS

  • ท่าทีแข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ต่อประเด็นไต้หวัน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนตกต่ำลงและสร้างความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
  • รัฐบาลญี่ปุ่นเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งหนี้สาธารณะที่สูงเป็นประวัติการณ์และภาวะเงินเฟ้อ จึงอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
  • ความกังวลต่อนโยบายการคลังและภาระหนี้สินมหาศาลได้กดดันให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงอย่างหนัก ซึ่งอาจซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อและบั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นต้องรับมือทั้งความเปราะบางทางเศรษฐกิจ หนี้สาธารณะระดับสูง และความผันผวนในตลาดการเงิน ขณะเดียวกันท่าทีต่อไต้หวันทำให้ความสัมพันธ์กับจีนถดถอยลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี และเพิ่มความเสี่ยงต่อภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค

การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางภาระการคลังอาจบั่นทอนเสถียรภาพระยะยาว ขณะที่ความตึงเครียดกับจีนเปิดฉากความท้าทายในหลายฉากทัศน์ทั้งการลดทอนความตึงเครียด ความไม่มั่นคงยืดเยื้อ หรือการเผชิญหน้ารุนแรงขึ้น

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ซานาเอะ ทาคาอิชิ ประธานพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้รับคะแนนเสียงให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 104 ของญี่ปุ่น กลายเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศ

เกือบหนึ่งเดือนต่อมา ในถ้อยแถลงครั้งแรกต่อรัฐสภา ทาคาอิชิ ระบุว่าญี่ปุ่นอาจเกี่ยวข้องทางทหารในความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวัน ซึ่งก่อให้เกิดวิกฤตทางการทูตทันที เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนทรุดต่ำลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

อย่างไรก็ดี วิกฤตนี้ก่อตัวขึ้นมานานแล้ว ทาคาอิชิต้องการประเด็นภูมิรัฐศาสตร์เพื่อเบี่ยงความสนใจออกจากความท้าทายทางเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อของญี่ปุ่น

ช่วงแรก คณะรัฐมนตรีของทาคาอิชิได้รับความนิยมสูงที่สุดชุดหนึ่งในรอบสองทศวรรษ โดยมีคะแนนสนับสนุนอยู่ที่ 65%-85% โดยเฉพาะจากกลุ่มคนหนุ่มสาวและวัยกลางคน ชาวญี่ปุ่นมองว่าลำดับความสำคัญของรัฐบาลคือการแก้เงินเฟ้อ (84%) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (64%) ระบบประกันสังคม (53%) และความมั่นคง (47%) ประเด็นปากท้องมีน้ำหนักมากกว่าประเด็นทางการทหารมาก

มีเพียงคนญี่ปุ่นส่วนน้อย (17%) ที่เห็นชอบให้ ฮางิอูดะ โคอิจิ ซึ่งเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเงินนอกระบบ เข้ารับตำแหน่งผู้รักษาการเลขาธิการบริหาร หลังการลอบสังหารอดีตนายกฯ อาเบะ ความเชื่อมโยงระหว่าง LDP และโบสถ์ยูนิฟิเคชันถูกจับตาอย่างเข้มข้น โดยฮางิอูดะมีความใกล้ชิดกับองค์กรศาสนาที่ถูกวิจารณ์นี้

ทั้งทาคาอิชิและฮางิอูดะต่างเป็นสมาชิกของนิปปอนไคกิ องค์กรเอ็นจีโอฝ่ายขวาจัดและชาตินิยมมากที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งมีเป้าหมายเปลี่ยนมุมมองประวัติศาสตร์ตามคำตัดสินของศาลโตเกียวหลังสงครามโลก ฟื้นฟูสถานะกึ่งศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิ และลดทอนความเท่าเทียมทางเพศ องค์กรนี้สนับสนุนการเยี่ยมศาลเจ้ายาสุกุนิของผู้กระทำสงคราม และปฏิเสธการบังคับค้าประเวณีของ “สตรีปลอบขวัญ” ในสงครามโลกครั้งที่สอง

นิปปอนไคกิมีบทบาทสำคัญในรัฐสภาญี่ปุ่น และมีนายกรัฐมนตรีถึง 6 คนที่เป็นสมาชิก เป้าหมายที่แท้จริงของทาคาอิชิคือการทำให้แนวคิดของนิปปอนไคงิเป็นกระแสหลัก และเสริมความร่วมมือทางทหารกับสหรัฐฯ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ความเปราะบางเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ

สัปดาห์ที่แล้ว คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นอนุมัติแพ็กเกจสภาพคล่อง 135,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรับมือค่าครองชีพที่สูงขึ้น และส่งเสริมการเติบโตด้วยการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์

นานหลายเดือนที่ผ่านมา ทาคาอิชิเรียกร้องให้ใช้นโยบายการคลังเชิงรุกอย่าง “รับผิดชอบ” อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่า ได้วางแนวทางรักษาวินัยการคลังควบคู่กับการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างไร เมื่อวัดทั้งในเชิงมูลค่ารวมและสัดส่วนต่อเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นมีภาระหนี้สาธารณะสูงสุดในโลกเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่าสองเท่าของขนาดเศรษฐกิจประเทศ

สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่สูงยังไม่ทำให้เกิดการล้มสลาย เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ถือโดยนักลงทุนภายในประเทศ และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าสัดส่วนดังกล่าวจะลดลงตั้งแต่โควิด-19 แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจของทาคาอิชิอาจทำให้แนวโน้มนี้กลับทิศ

การใช้จ่ายภาครัฐ การสวัสดิการสังคม ประชากรผู้สูงวัยและหดตัว รวมถึงภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ ล้วนซ้ำเติมภาระหนี้นี้ เมื่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น แพ็กเกจสภาพคล่องของทาคาอิชิอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและเยนอ่อนค่า ซึ่งจะกระตุ้นเงินเฟ้อและบั่นทอนประสิทธิผลของมาตรการ อีกทั้งอาจทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน และนำไปสู่การไหลออกของเงินทุน พร้อมผลกระทบลุกลามระดับโลก

ความย้อนแย้งที่ยังคงอยู่ของ LDP

สัญญาณเบื้องต้นสะท้อนความวิตกที่เพิ่มขึ้นในตลาดญี่ปุ่น ความกังวลนี้สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะ 1.835% สูงสุดตั้งแต่ฤดูร้อนปี 2008

ขณะเดียวกันเยนอ่อนค่าลงแตะระดับ 157.90 เยนต่อดอลลาร์ จากความกังวลด้านการคลังและความคาดหวังที่ลดลงต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

การอ่อนค่าของเยนอาจผลักดันราคาสินค้าให้สูงขึ้น และส่งผลให้ประสิทธิผลของแพ็กเกจสภาพคล่องลดลง ซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีทาคาอิชิต้องขอใช้มาตรการกระตุ้นเพิ่มขึ้นอีก โดยจะยิ่งทำให้เสถียรภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินในระยะกลางถึงยาวอ่อนแอลง