KEY
POINTS
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของมหาอำนาจ ประเทศไทยกำลังเร่งเครื่องเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับพันธมิตรใหม่ ๆ โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือ "แคนาดา" ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายในปี 2569
"ฐานเศรษฐกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ นายปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาเรน (Mr. Peter John van Haren) อดีตประธานหอการค้านานาชาติในประเทศไทย และ อดีตประธานหอการค้าไทย-แคนาดา เพื่อสะท้อนมุมมองจากภาคเอกชน ถึงความเป็นไปได้ อุปสรรค และ โอกาสที่ทั้งสองชาติจะได้รับจากการปัดฝุ่นการเจรจาในครั้งนี้ ความเป็นมาและอดีตของการเจรจา Thai-Canada FTA ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
นายปีเตอร์ ฉายภาพย้อนหลังไปเมื่อเกือบ 2 ทศวรรษที่แล้วว่า เรื่อง FTA ระหว่างไทยและแคนาดาไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการพูดคุยกันมานานเกือบ 20 ปี แต่สาเหตุที่ไม่เคยบรรลุผลสำเร็จ หรือ "คุยกันไม่รู้เรื่อง" ในอดีต เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก
1. การมองคนละเซกเตอร์ (Talking Past Each Other): ในอดีตการเจรจาขาดความเข้าใจในจุดประสงค์ร่วมกัน ฝั่งไทยอาจมุ่งเน้นเจรจาในอุตสาหกรรมหนึ่ง ในขณะที่แคนาดาให้ความสำคัญกับอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง ทำให้ผลประโยชน์ไม่ลงรอยกัน
2.ขาดแรงขับเคลื่อนระดับนโยบาย (Lack of Top-Down Support): การประชุมในอดีตมักเป็นระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการจากกระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงต่างประเทศ ไม่เคยมีการหารือระดับรัฐมนตรีหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด (Top Management) อย่างจริงจัง ทำให้การเจรจาเป็นเพียงการ "คุยกันเฉยๆ" แต่ไม่มีผลผูกพันทางนโยบายที่ชัดเจน
สำหรับบริบทในปัจจุบัน นายปีเตอร์ มองว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป และเป็น "โอกาสทอง" ที่แคนาดาจะหันมามองไทยอย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ
การกระจายความเสี่ยงจากสหรัฐฯ : ปัจจุบัน แคนาดา พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงมาก แต่ด้วยความไม่แน่นอนของตลาดสหรัฐฯ (โดยเฉพาะนโยบายการค้า) ทำให้ แคนาดา ต้องหา "ตะกร้าใบใหม่" เพื่อกระจายความเสี่ยง และ มองหาพาร์ทเนอร์ที่ยั่งยืน ซึ่งไทยเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ต้องยกระดับการเจรจา : การเจรจาครั้งนี้ต้องเป็นการตั้ง "วาระแห่งชาติ" ระหว่างสองประเทศ โดยมีระดับรัฐมนตรีหรือเอกอัครราชทูตเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ไม่ใช่แค่ระดับเจ้าหน้าที่เหมือนในอดีต
บทบาทของภาคเอกชนรายใหญ่ : รัฐบาลต้องคำนึงถึงเสียงของภาคเอกชน (Big Corps) ในประเทศด้วย เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่มักต้องการปกป้องส่วนแบ่งการตลาด (Protectionism) ของตนเอง ซึ่งอาจเป็นแรงต้านสำคัญในการเปิดเสรีบางเซกเตอร์
โอกาสและสินค้าที่น่าจับตามอง:
ฝั่งแคนาดา (ส่งออก):
แร่ธาตุและวัตถุดิบต้นน้ำ: แคนาดาเป็นผู้นำด้าน "อะลูมิเนียม" และ "ปุ๋ยโพแทช (Potash)" ของโลก ซึ่งไทยมีความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร
เกษตรและอาหารสัตว์ : แคนาดาต้องการส่งออกพืชตระกูลถั่ว (Peas/Beans) สำหรับทำอาหารสัตว์ (Animal Feed) และถั่วเหลือง ซึ่งไทยยังขาดแคลน
กระดาษและเยื่อไม้ : สินค้าจากป่าไม้เป็นจุดแข็งของแคนาดา
ฝั่งไทย (ส่งออก) :
อาหารและเกษตร: กุ้ง, อาหารทะเลแปรรูป และสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่แคนาดาผลิตไม่ได้
อิเล็กทรอนิกส์ : ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ
อุปสรรคและข้อเสียเปรียบ (Barriers):
มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Phytosanitary) : แคนาดามีมาตรฐานความสะอาดและคุณภาพอาหารที่เข้มงวดมาก เช่น กรณีไก่ไทยที่เคยถูกแบน (ปัจจุบันส่งได้แล้ว) หรือสารตกค้างในพืช
พิกัดอัตราศุลกากรที่ไม่สอดคล้องกัน : นายปีเตอร์ยกตัวอย่างในอดีตที่พิกัดภาษี "ถั่วลันเตา" ระหว่าง "คนกิน" กับ "อาหารสัตว์" คือพิกัดเดียวกัน ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถบริหารต้นทุนได้
หากทำ FTA ต้องปรับจูนเรื่องนี้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
SMEs อาจไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ : ข้อตกลง FTA มักเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการส่งออก-นำเข้าสูง ในขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยอาจเข้าไม่ถึงโอกาสเท่าที่ควร
มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Fiscal Barriers) : เช่น กฎระเบียบการจัดตั้งบริษัท (Foreign Business Act) การขอใบอนุญาตทำงาน ที่นักลงทุนแคนาดาอยากได้สิทธิเทียบเท่าที่ไทยเคยให้สหรัฐฯ หรือ
ออสเตรเลีย
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการปิดดีลภายใน 1 ปี (ปี 2569) นายปีเตอร์ ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า :
"ยากแต่เป็นไปได้" กรอบเวลา 1 ปีถือว่าท้าทายมากสำหรับการทำ FTA แต่หากมี Political Will หรือแรงสนับสนุนจากระดับบนสุด (รัฐบาล) อย่างจริงจัง เหมือนสมัยที่ไทยเคยเร่งทำ FTA กับบางประเทศ ก็สามารถทำได้
ด่านหินคือ "รัฐสภา" ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่โต๊ะเจรจาเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ขั้นตอนการให้สัตยาบัน (Ratification) เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาของทั้งไทยและแคนาดา ซึ่งต้องใช้เวลา
ประเด็นการเดินทาง (Visa) อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นความร่วมมือด้านการเดินทางที่สะดวกขึ้น เช่น การยกเว้นวีซ่า (Visa Free) หรือการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าธุรกิจ เพราะแคนาดาไม่ได้เข้มงวดเรื่องนี้มากนักหากมีการตกลงกันในระดับนโยบาย
บทสรุป: การเจรจา FTA ไทย-แคนาดา ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการลดภาษี แต่เป็นการเปิดประตูสู่แหล่งวัตถุดิบต้นน้ำและเทคโนโลยีจากอเมริกาเหนือ รวมถึงการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน หากไทยสามารถปลดล็อกอุปสรรคด้านกฎระเบียบและเร่งกระบวนการรัฐสภาได้ทันเวลา เป้าหมายปี 2569 ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน.