เจาะลึกโอกาสและความท้าทาย "FTA ไทย-แคนาดา" กับเป้าหมายปิดดีลปี 69

17 พ.ย. 2568 | 04:23 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ย. 2568 | 04:42 น.

FTA ไทย-แคนาดา ดีลแห่งปีที่กำลังเร่งเครื่อง! ส่องโอกาส 'ดับเบิ้ล' มูลค่าการค้าสู่เป้าหมาย แสนล้านบาท ภาคการเกษตร สินค้าอาหาร และ ยานยนต์ รับอานิสงส์ใหญ่

KEY

POINTS

  • ไทยและแคนาดาตั้งเป้าหมายสรุปผลการเจรจา FTA ให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 หลังจากที่การเจรจาในอดีตเกือบ 20 ปีไม่สำเร็จ เนื่องจากขาดแรงผลักดันระดับนโยบาย
  • ข้อตกลงจะเปิดโอกาสให้ไทยส่งออกสินค้าเกษตร-อาหาร (กุ้ง, อาหารทะเล) และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่แคนาดาสามารถส่งออกวัตถุดิบต้นน้ำ เช่น อะลูมิเนียม ปุ๋ยโพแทช และสินค้าเกษตรสำหรับอาหารสัตว์
  • ความท้าทายสำคัญคือมาตรฐานสุขอนามัยที่เข้มงวดของแคนาดา อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี และขั้นตอนการให้สัตยาบันในรัฐสภา ซึ่งความสำเร็จในการปิดดีลขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย

 ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของมหาอำนาจ ประเทศไทยกำลังเร่งเครื่องเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับพันธมิตรใหม่ ๆ โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือ "แคนาดา" ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายในปี 2569

"ฐานเศรษฐกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ นายปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาเรน (Mr. Peter John van Haren) อดีตประธานหอการค้านานาชาติในประเทศไทย และ อดีตประธานหอการค้าไทย-แคนาดา เพื่อสะท้อนมุมมองจากภาคเอกชน ถึงความเป็นไปได้ อุปสรรค และ โอกาสที่ทั้งสองชาติจะได้รับจากการปัดฝุ่นการเจรจาในครั้งนี้ ความเป็นมาและอดีตของการเจรจา Thai-Canada FTA ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

นายปีเตอร์ ฉายภาพย้อนหลังไปเมื่อเกือบ 2 ทศวรรษที่แล้วว่า เรื่อง FTA ระหว่างไทยและแคนาดาไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการพูดคุยกันมานานเกือบ 20 ปี แต่สาเหตุที่ไม่เคยบรรลุผลสำเร็จ หรือ "คุยกันไม่รู้เรื่อง" ในอดีต เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก

1. การมองคนละเซกเตอร์ (Talking Past Each Other): ในอดีตการเจรจาขาดความเข้าใจในจุดประสงค์ร่วมกัน ฝั่งไทยอาจมุ่งเน้นเจรจาในอุตสาหกรรมหนึ่ง ในขณะที่แคนาดาให้ความสำคัญกับอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง ทำให้ผลประโยชน์ไม่ลงรอยกัน

2.ขาดแรงขับเคลื่อนระดับนโยบาย (Lack of Top-Down Support): การประชุมในอดีตมักเป็นระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการจากกระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงต่างประเทศ ไม่เคยมีการหารือระดับรัฐมนตรีหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด (Top Management) อย่างจริงจัง ทำให้การเจรจาเป็นเพียงการ "คุยกันเฉยๆ" แต่ไม่มีผลผูกพันทางนโยบายที่ชัดเจน

 

ปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาเรน

การพูดคุย FTA ไทย-แคนาดาในปัจจุบันจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

 สำหรับบริบทในปัจจุบัน นายปีเตอร์ มองว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป และเป็น "โอกาสทอง" ที่แคนาดาจะหันมามองไทยอย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ

 การกระจายความเสี่ยงจากสหรัฐฯ : ปัจจุบัน แคนาดา  พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงมาก แต่ด้วยความไม่แน่นอนของตลาดสหรัฐฯ (โดยเฉพาะนโยบายการค้า) ทำให้ แคนาดา ต้องหา "ตะกร้าใบใหม่" เพื่อกระจายความเสี่ยง และ มองหาพาร์ทเนอร์ที่ยั่งยืน ซึ่งไทยเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

 ต้องยกระดับการเจรจา : การเจรจาครั้งนี้ต้องเป็นการตั้ง "วาระแห่งชาติ" ระหว่างสองประเทศ โดยมีระดับรัฐมนตรีหรือเอกอัครราชทูตเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ไม่ใช่แค่ระดับเจ้าหน้าที่เหมือนในอดีต

 บทบาทของภาคเอกชนรายใหญ่ : รัฐบาลต้องคำนึงถึงเสียงของภาคเอกชน (Big Corps) ในประเทศด้วย เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่มักต้องการปกป้องส่วนแบ่งการตลาด (Protectionism) ของตนเอง ซึ่งอาจเป็นแรงต้านสำคัญในการเปิดเสรีบางเซกเตอร์

 ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของทั้ง 2 ประเทศ

โอกาสและสินค้าที่น่าจับตามอง:

ฝั่งแคนาดา (ส่งออก):

  แร่ธาตุและวัตถุดิบต้นน้ำ: แคนาดาเป็นผู้นำด้าน "อะลูมิเนียม" และ "ปุ๋ยโพแทช (Potash)" ของโลก ซึ่งไทยมีความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร

เกษตรและอาหารสัตว์ : แคนาดาต้องการส่งออกพืชตระกูลถั่ว (Peas/Beans) สำหรับทำอาหารสัตว์ (Animal Feed) และถั่วเหลือง ซึ่งไทยยังขาดแคลน

กระดาษและเยื่อไม้ : สินค้าจากป่าไม้เป็นจุดแข็งของแคนาดา

 ฝั่งไทย (ส่งออก) :

 อาหารและเกษตร: กุ้ง, อาหารทะเลแปรรูป และสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่แคนาดาผลิตไม่ได้

 อิเล็กทรอนิกส์ : ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ

อุปสรรคและข้อเสียเปรียบ (Barriers):

มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Phytosanitary) : แคนาดามีมาตรฐานความสะอาดและคุณภาพอาหารที่เข้มงวดมาก เช่น กรณีไก่ไทยที่เคยถูกแบน (ปัจจุบันส่งได้แล้ว) หรือสารตกค้างในพืช

 พิกัดอัตราศุลกากรที่ไม่สอดคล้องกัน : นายปีเตอร์ยกตัวอย่างในอดีตที่พิกัดภาษี "ถั่วลันเตา" ระหว่าง "คนกิน" กับ "อาหารสัตว์" คือพิกัดเดียวกัน ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถบริหารต้นทุนได้

หากทำ FTA ต้องปรับจูนเรื่องนี้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

SMEs อาจไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ : ข้อตกลง FTA มักเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการส่งออก-นำเข้าสูง ในขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยอาจเข้าไม่ถึงโอกาสเท่าที่ควร

 มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Fiscal Barriers) : เช่น กฎระเบียบการจัดตั้งบริษัท (Foreign Business Act) การขอใบอนุญาตทำงาน ที่นักลงทุนแคนาดาอยากได้สิทธิเทียบเท่าที่ไทยเคยให้สหรัฐฯ หรือ

 ออสเตรเลีย

 ความเป็นไปได้ที่จะเจรจาสำเร็จภายในปี 2569

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการปิดดีลภายใน 1 ปี (ปี 2569) นายปีเตอร์ ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า :

"ยากแต่เป็นไปได้" กรอบเวลา 1 ปีถือว่าท้าทายมากสำหรับการทำ FTA แต่หากมี Political Will หรือแรงสนับสนุนจากระดับบนสุด (รัฐบาล) อย่างจริงจัง เหมือนสมัยที่ไทยเคยเร่งทำ FTA กับบางประเทศ ก็สามารถทำได้

 ด่านหินคือ "รัฐสภา" ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่โต๊ะเจรจาเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ขั้นตอนการให้สัตยาบัน (Ratification) เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาของทั้งไทยและแคนาดา ซึ่งต้องใช้เวลา

 ประเด็นการเดินทาง (Visa) อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นความร่วมมือด้านการเดินทางที่สะดวกขึ้น เช่น การยกเว้นวีซ่า (Visa Free) หรือการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าธุรกิจ เพราะแคนาดาไม่ได้เข้มงวดเรื่องนี้มากนักหากมีการตกลงกันในระดับนโยบาย

 บทสรุป: การเจรจา FTA ไทย-แคนาดา ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการลดภาษี แต่เป็นการเปิดประตูสู่แหล่งวัตถุดิบต้นน้ำและเทคโนโลยีจากอเมริกาเหนือ รวมถึงการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน หากไทยสามารถปลดล็อกอุปสรรคด้านกฎระเบียบและเร่งกระบวนการรัฐสภาได้ทันเวลา เป้าหมายปี 2569 ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน.