วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านข้อตกลงยุติ ‘ชัตดาวน์’ ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ ดันทรัมป์เซ็นเปิดรัฐบาล

11 พ.ย. 2568 | 03:18 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ย. 2568 | 03:38 น.

วุฒิสภาสหรัฐฯ โหวต 60-40 ผ่านข้อตกลงยุติภาวะชัตดาวน์ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ เตรียมคืนงบหน่วยงานรัฐ หยุดแผนทรัมป์ลดข้าราชการ พร้อมส่งต่อร่างกฎหมายให้สภาผู้แทนฯ ผ่านก่อนทรัมป์ลงนาม

KEY

POINTS

  • วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อยุติภาวะ "ชัตดาวน์" ของรัฐบาลกลางที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
  • ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการจัดสรรงบประมาณชั่วคราวจนถึงวันที่ 30 มกราคม เพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง
  • ร่างกฎหมายจะถูกส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามเพื่อเปิดทำการรัฐบาลอย่างเป็นทางการ

วุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติรับรองร่างกฎหมายที่ช่วยยุติภาวะ “ชัตดาวน์” ของรัฐบาลกลางซึ่งเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยผลการลงคะแนนอยู่ที่ 60 ต่อ 40 เสียง การตัดสินใจนี้ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองที่ลากยาวมาหลายสัปดาห์ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสวัสดิการอาหารของประชาชนหลายล้านคน ข้าราชการจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับค่าจ้าง และการบริการด้านการบินที่ติดขัดทั่วประเทศ

การสนับสนุนจากสมาชิกพรรครีพับลิกันเกือบทั้งหมด รวมถึงพรรคเดโมแครตอีก 8 คน เป็นแรงผลักดันให้ร่างกฎหมายผ่านในวุฒิสภา แม้ว่าเดโมแครตจะพยายามเชื่อมโยงการจัดสรรงบประมาณกับการต่ออายุเงินอุดหนุนด้านสุขภาพที่กำลังจะหมดอายุในปีนี้ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวได้กำหนดให้มีการพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งในเดือนธันวาคม แม้ว่าจะไม่มีการรับรองว่าสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันกว่า 24 ล้านคนจะได้รับการต่ออายุ

ตามข้อตกลงที่ได้มีการจัดทำขึ้น จะมีการคืนงบประมาณให้กับหน่วยงานของรัฐที่ถูกระงับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และจะชะลอแผนการลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยไม่มีการปลดพนักงานออกจนถึงวันที่ 30 มกราคมปีหน้า ร่างกฎหมายจะถูกส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎรซึ่งอยู่ในความควบคุมของพรรครีพับลิกัน โดย ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนฯ ระบุว่ามีแผนจะพิจารณาในวันพุธ เพื่อให้ร่างกฎหมายนี้ไปถึงมือทรัมป์

ข้อตกลงนี้จะทำให้การใช้งบประมาณชั่วคราวขยายออกไปจนถึงวันที่ 30 มกราคม ช่วยให้รัฐบาลกลางสามารถดำเนินงานต่อไปได้ ขณะเดียวกันยังทำให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่เพิ่มหนี้สาธารณะประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จากหนี้รวมปัจจุบันที่มีมากกว่า 38 ล้านล้านดอลลาร์

ดิ๊ก เดอร์บิน วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากรัฐอิลลินอยส์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า “เราหวังว่าจะทำได้มากกว่านี้ แต่การปิดรัฐบาลดูเหมือนจะให้โอกาสเราในการผลักดันนโยบายที่ดีกว่า แต่สุดท้ายมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น”

ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสเมื่อปลายเดือนตุลาคม พบว่า 50% ของชาวอเมริกันมองว่าพรรครีพับลิกันเป็นสาเหตุหลักของการชัตดาวน์ ขณะที่อีก 43% โทษพรรคเดโมแครต

หลังจากข่าวดีเกี่ยวกับข้อตกลงในการเปิดรัฐบาลได้รับการเผยแพร่ออกมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่นักวิเคราะห์ยังคงจับตามองทิศทางการใช้งบประมาณของรัฐบาลภายใต้การนำของทรัมป์

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ยกเลิกงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์พร้อมลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลางลงหลายแสนคน ซึ่งถือเป็นการแทรกแซงอำนาจการใช้งบประมาณของสภาคองเกรสตามรัฐธรรมนูญ และทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในหมู่เดโมแครตต่อเหตุผลในการยอมรับข้อตกลงด้านการใช้จ่ายใดๆ ต่อไป

อย่างไรก็ดี ข้อตกลงล่าสุดนี้ยังไม่มีมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้ทรัมป์สามารถตัดงบเพิ่มเติมในอนาคต แต่มีการรับรองว่าจะมีการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร (SNAP) ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายนปีหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล่าช้าทางสวัสดิการ หากมีการชัตดาวน์อีกในอนาคต