‘สีหศักดิ์’ ยัน ทำประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา ต้องเปิดข้อมูลให้ปชช.รู้ก่อนตัดสินใจ

01 ต.ค. 2568 | 12:15 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2568 | 08:11 น.

‘สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว’ รมว. กต. ชี้ประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา ต้องให้ปชช.เข้าถึงข้อมูลทุกด้านก่อนตัดสินใจ ย้ำ 4 เดือนนี้ต้องมีความหมาย พร้อมเดินหน้าฟื้นความสัมพันธ์ด้วยความจริงใจ

KEY

POINTS

  • รัฐบาลมีแผนจัดทำประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยและกัมพูชา
  • นายสีหศักดิ์ รมว.กต. ยืนยันว่าก่อนการลงประชามติ จะต้องชี้แจงเนื้อหาและสาระสำคัญของ MOU ให้ประชาชนเข้าใจอย่างครบถ้วนและรอบด้าน
  • การให้ข้อมูลมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน และทุกฝ่ายต้องเคารพผลการตัดสินใจของประชาชน

วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ณ กระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เริ่มต้นวันทำงานอย่างเป็นทางการวันแรกด้วยการบรรยายสรุปให้คณะทูตานุทูตฟังเกี่ยวกับผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ 80 รวมถึงสถานการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องให้ความสำคัญ

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับคณะสื่อมวลชน นายสีหศักดิ์ได้พูดถึงประเด็นที่รัฐบาลมีแผนจะจัดประชามติเพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยระบุว่าแนวทางนี้สอดคล้องกับที่รัฐบาลได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้พูดถึงวิธีการในเบื้องต้นแล้ว โดยยืนยันว่ากระทรวงการต่างประเทศจะมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบด้านแก่ประชาชน

รมว.กต. ย้ำว่า สิ่งสำคัญคือเนื้อหาใน MOU จะต้องถูกชี้แจงอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสาระสำคัญและวัตถุประสงค์ที่แท้จริง โดยสิ่งนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน และไม่ว่าเสียงโหวตจะเป็นอย่างไร ทุกคนก็ต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน เนื่องจากประเด็นนี้มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างมาก

 

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับข้อกังวลจากกัมพูชาที่ว่าการยกเลิก MOU ต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย นายสีหศักดิ์ได้กล่าวว่า จำเป็นต้องกลับไปตรวจสอบรายละเอียดในเอกสาร ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีหลายวิธีในการยุติข้อตกลง ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญคือการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์และรอบคอบ

รมว.กต. ยังได้เน้นย้ำถึงแนวคิดที่ว่า ในระยะเวลา 4 เดือนต้องสร้างความหมายตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ โดยการทูตจะไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ในปัจจุบัน แต่ต้องสร้างรากฐานเพื่อทิศทางการต่างประเทศของไทยในอนาคต พร้อมทั้งยืนยันว่าแนวทางในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาจะต้องอิงอยู่บน "ความจริงใจ" เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งและสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งเมื่อมีการสร้างความไว้วางใจกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความสัมพันธ์ก็จะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเอง

นอกจากนี้ นายสีหศักดิ์ยังได้กล่าวถึงปัญหาข่าวเท็จที่มักส่งผลกระทบต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ โดยยอมรับว่าข่าวที่บิดเบือนสามารถสร้างผลเสียและทำให้สถานการณ์ย้อนกลับไป จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการบริหารจัดการข้อมูลอย่างจริงจัง กระทรวงการต่างประเทศจะพยายามสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนที่สุดให้แก่สังคม

สำหรับการนำความสัมพันธ์ทางการทูตกลับมาเป็นปกติ นายสีหศักดิ์มองว่า จำเป็นต้องสร้างความก้าวหน้าให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการสถานการณ์ตามแนวชายแดนที่ยังไม่ปกติ สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือทำให้พื้นที่ชายแดนมีความสงบและปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างเสถียรภาพและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ

พร้อมกันนี้นายสีหศักดิ์ยังได้เปิดเผยถึงการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศจากหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น รัสเซีย รวมถึงการพูดคุยกับเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่ออธิบายถึงความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และย้ำจุดยืนของไทยในการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ โดยมองว่าความก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้านจะส่งผลดีต่อไทยโดยตรง

ในด้านเศรษฐกิจการต่างประเทศ ไทยยังมีบทบาทสำคัญในภูมิภาค โดยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะเป็นเวทีที่ช่วยเสริมสร้างพลังอาเซียนและยกระดับการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน

ในช่วงเวลาที่เหลือเพียง 4 เดือนก่อนการยุบสภานี้ นายสีหศักดิ์ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะใช้ทุกวันในการขับเคลื่อนการทูตในหลายมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง และสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ผลงานของรัฐบาลนี้ไม่สูญเปล่า