KEY
POINTS
วันที่ 30 กันยายน 2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับแผนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชา โดยชี้ให้เห็นถึง 4 ประเด็นหลักที่ยังคงมีปัญหา เนื่องจากกัมพูชายังไม่มีความจริงใจในการเจรจา พร้อมย้ำว่าไทยจำเป็นต้องมีแผนระยะยาว แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว โดยระบุว่า ปัญหาระหว่างสองประเทศนั้นมีหลากหลายมิติ เช่น เรื่องชายแดน ความมั่นคง การทหาร และอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงความรู้สึกของประชาชน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้แค่การตอบสนองแบบทันทีทันใด แต่ต้องมีแนวทางที่ชัดเจนเพื่อรักษาผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศไทย
ฝั่งไทยพร้อมที่จะเปิดการเจรจา แต่ปัญหาหลักในตอนนี้คือกัมพูชายังไม่แสดงความจริงใจ ทำให้การเดินหน้าเจรจาเผชิญความซับซ้อน อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันการเจรจาใน 4 ประเด็นสำคัญเพื่อสร้างสันติภาพและความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน ได้แก่
1. การหยุดยิงถาวร
2. การกู้ทุ่นระเบิดที่ส่งผลกระทบต่อทหารไทย
3. การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
4. การนำอาวุธหนักออกจากพื้นที่พิพาท
นายสีหศักดิ์ยังได้ชี้ให้เห็นว่า กัมพูชาใช้ช่องทางสื่อสารในเวทีระหว่างประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบ ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องมีแผนการจัดการข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเชิดชูภาพลักษณ์และผลประโยชน์ของประเทศในเวทีโลก โดยยกตัวอย่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่ผ่านมา โดยได้ย้ำว่าภารกิจของผู้แทนไทยคือการปกป้องศักดิ์ศรีและอธิปไตยของชาติ แม้ว่าจะถูกตีความว่าเป็นการเผชิญหน้าก็ตาม
สำหรับทิศทางในช่วง 4 เดือของรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล กระทรวงการต่างประเทศมีแผนที่จะทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ เน้นการประสานงานระหว่างการทูตและการทหาร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กัน หากการทูตต้องการการสนับสนุนด้านความมั่นคง ต้องทำงานควบคู่กับการทหาร และในทางกลับกัน หากการทหารต้องการเปิดพื้นที่ การทูตก็จะต้องเข้ามาช่วยเสริมอย่างเต็มที่
นายสีหศักดิ์กล่าว่า "สถานการณ์ในปัจจุบันเราต้องเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น และวิธีการของกัมพูชาก็ดูเหมือนจะไม่แน่นอน แต่สิ่งสำคัญคือการทำงานด้านการต่างประเทศต้องเริ่มจากภายในบ้านเราเอง เราจำเป็นต้องมีความเป็นเอกภาพในการทำงานร่วมกัน ดังนั้นในช่วงที่ตนเองดูแลกระทรวงการต่างประเทศ จะมุ่งเน้นการสร้างความเป็นเอกภาพกับฝ่ายทหาร โดยตนได้มีการพูดคุยกับกระทรวงกลาโหมทุกวัน เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น เราอาจดูอ่อนแอในสายตาของฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ ขณะนี้การทูตควรจะต้องสนับสนุนการทหาร แต่ในอนาคตเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป อาจจะมีความจำเป็นที่ฝ่ายทหารต้องให้การสนับสนุนการทูตเช่นกัน"