KEY
POINTS
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เฟดยังไม่รีบร้อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง แม้ว่าสัญญาณจากตลาดแรงงานจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอลง แต่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องใส่ใจ ซึ่งถือเป็นช่วงที่เฟดต้องบริหารนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง
พาวเวลล์ได้กล่าวในสุนทรพจน์ที่โรดไอแลนด์ว่า ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมพอสมควรสำหรับการรับมือทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะเป็นการที่เงินเฟ้ออาจจะเพิ่มสูงขึ้นหรือการจ้างงานที่อาจชะลอตัว พร้อมกับย้ำว่าการปรับขึ้นราคาจากผลของภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ควรเห็นว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถประมาทได้ เพราะทิศทางของเงินเฟ้อยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
"เราจะไม่ปล่อยให้การเพิ่มขึ้นของราคาในครั้งนี้กลายเป็นปัญหาเงินเฟ้อเรื้อรัง"
ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นหลังจากที่เฟดได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้จุดกระแสการถกเถียงในหมู่ผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงานหรือไม่ ขณะที่นักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งภายในสิ้นปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ตุลาคม 2022
อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์ได้ย้ำว่า "ยังไม่มีภาวะวิกฤติ" ที่จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยในระดับที่มาก สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในมุมมองภายในเฟด โดยเฉพาะผู้ว่าการเฟดที่มีแนวโน้มสนับสนุนทรัมป์ อย่างเช่น มิเชล โบว์แมน และสตีเฟน มิแรน ได้ออกมาเตือนว่าตลาดแรงงานอาจจะมีความเปราะบางมากกว่าที่คิด และเฟดอาจ "ช้าเกินไป" หากไม่เร่งลดดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ โดยโบว์แมนได้ชี้ว่าข้อมูลการจ้างงานล่าสุดได้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ตลาดแรงงานอาจจะอ่อนแอจริง ส่วนมิแรนถึงกับเสนอว่าควรมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกเกือบ 2 จุดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงถ้าไม่อยู่ในช่วงวิกฤติใหญ่
ในทางตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่เฟดอีกหลายคนยังคงมีความระมัดระวัง โดยออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดชิคาโกได้ชี้ว่า ปัญหาเงินเฟ้อยังคงไม่ได้รับการแก้ไข เพราะยังอยู่เหนือเป้าหมายที่ 2% มาตลอดกว่า 4 ปีครึ่ง และยังมีแรงกดดันด้านราคาในระบบ ส่วนราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนตา ได้ย้ำว่าความเสี่ยงด้านเสถียรภาพราคายังคงเป็นปัญหาที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ข้อมูลล่าสุดจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรการที่เฟดให้ความสำคัญในการวัดเงินเฟ้อ แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกายังคงอยู่ที่ 2.6% ต่อปีในเดือนกรกฎาคม ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กำลังจะมีการรายงานตัวเลขเดือนสิงหาคมในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินต่อไป