KEY
POINTS
อินเดียและสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าหารือท่ามกลางความตึงเครียด หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหุ้นตลาดอินเดีย โดยสูญเสียไปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงย้ำความสำคัญของการเจรจาต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่สำคัญ
รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย สุพรมันยัม ไจชานการ์ ได้เปิดเผยว่า ตนได้มีโอกาสพูดคุยกับมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ขณะเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก โดยทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า ควรมีการเจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความก้าวหน้าในประเด็นที่สำคัญ แม้จะมีความกดดันจากนโยบายของวอชิงตันที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์
การพบกันนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ใหม่สูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทไอทีรายใหญ่ในอินเดียทันที เพราะอินเดียเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากวีซ่าประเภทนี้ โดยปีที่ผ่านมามีผู้ได้รับอนุมัติวีซ่าถึง 71% ขณะที่จีนอยู่ในอันดับสองเพียง 11.7% เท่านั้น
แรงกดดันนี้ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียดิ่งลงอย่างรวดเร็วในวันจันทร์ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศที่มูลค่าหายไปประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอินเดียในตลาดโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ ถูกทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่การที่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพื่อตอบโต้การซื้อน้ำมันจากรัสเซีย รวมไปถึงมาตรการล่าสุดที่สร้างแรงเสียดทานด้านการค้าและแรงงานที่มีทักษะสูง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายยังคงพยายามฟื้นฟูบรรยากาศความร่วมมือ โดยเฉพาะผ่านกรอบการหารือ Quad ที่มีญี่ปุ่นและออสเตรเลียเข้าร่วม แต่การประกาศนโยบายใหม่ของทรัมป์กลับทำให้เกิดความไม่แน่นอนในทิศทางความสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม รูบิโอได้ส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญกับอินเดียในฐานะพันธมิตรหลัก โดยเขาได้ปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดในช่วงการไต่สวนเพื่อแนะนำ เซอร์จิโอ กอร์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คนใหม่ประจำกรุงนิวเดลี และได้ระบุชัดเจนว่า อินเดียคือหนึ่งในความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ บนเวทีโลก