เกมสงครามข้อมูล-เทคโนโลยี เหตุสหรัฐ จ้องฮุบ TikTok จากอ้อมอก”จีน’ 

19 ก.ย. 2568 | 01:43 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2568 | 05:14 น.

ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน “TikTok” ได้กลายเป็นสมรภูมิใหม่ที่สะท้อนการแย่งชิงอำนาจในศตวรรษที่ 21

KEY

POINTS

  • สหรัฐฯ กังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยเกรงว่ารัฐบาลจีนอาจเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกันจำนวนมหาศาลเพื่อใช้ในการสอดแนมหรือปฏิบัติการทางไซเบอร์
  • สหรัฐฯ มองว่า TikTok เป็นเครื่องมือที่อาจใช้แทรกแซงการเมืองและชี้นำความคิดเห็นของสังคมผ่านอัลกอริทึม อีกทั้งยังเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญของบริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน
  • การบังคับขาย TikTok เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นทางดิจิทัล (Digital Cold War) ที่สหรัฐฯ และจีนกำลังแข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและข้อมูล

การต่อสู้ไม่ใช่เพียงเรื่องแอปพลิเคชันวิดีโอสั้นที่ได้รับความนิยมทั่วโลก แต่คือสัญลักษณ์ของสงครามข้อมูล เทคโนโลยี และอิทธิพลทางสังคม ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงและผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ

การที่สหรัฐฯ เดินหน้าบังคับให้ ByteDance บริษัทแม่สัญชาติจีน ต้องโอนกิจการ TikTok US ให้กับผู้ประกอบการอเมริกัน จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก หากแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงทิศทางของภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัล ที่กำลังแบ่งโลกออกเป็น 2 ขั้วชัดเจนมากขึ้น

ล่าสุดเกิดความคืบหน้าสำคัญเมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายออกมายืนยันตรงกันว่า ได้บรรลุ กรอบข้อตกลง (framework agreement) เกี่ยวกับการโอนการควบคุมแอปโซเชียลมีเดียยอดนิยม TikTok สู่การบริหารโดยสหรัฐฯ โดยข้อตกลงนี้จะถูกยืนยันอย่างเป็นทางการในการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

เกมสงครามข้อมูล-เทคโนโลยี เหตุสหรัฐ จ้องฮุบ TikTok จากอ้อมอก”จีน’ 

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการเจรจายืดเยื้อมาหลายเดือนระหว่าง 2 ชาติ ซึ่งต่างอยู่ในฐานะเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและสองของโลก การหาทางออกเกี่ยวกับ TikTok ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 170 ล้านคนในสหรัฐฯ ยังถูกมองว่าเป็นการลดแรงปะทะของสงครามการค้าที่ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมา

เหตุผลสหรัฐฯ ต้องการ “ครอบครอง TikTok”

1. ความมั่นคงไซเบอร์และการควบคุมข้อมูล

หัวใจสำคัญที่สุดที่ผลักดันให้สหรัฐฯ ต้องการ “ยึด” TikTok มาจากความกังวลเรื่อง ข้อมูลผู้ใช้งานมหาศาล ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้กว่า 170 ล้านบัญชีในสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลที่เก็บไม่ใช่เพียงเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมล์ แต่รวมถึงพฤติกรรมการใช้ ตำแหน่งที่ตั้ง ความสนใจ และเครือข่ายทางสังคมทั้งหมด

ในมุมมองของหน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น FBI หรือ FCC ข้อมูลเหล่านี้คือ “ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์” ที่สามารถนำไปใช้สอดแนม หรือสร้างปฏิบัติการไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ ได้ หาก ByteDance ถูกกดดันจากรัฐบาลจีนให้นำข้อมูลส่งมอบ

สหรัฐฯ เองมีประสบการณ์ตรงกับปัญหาการโจรกรรมข้อมูลจากจีน ทั้งในภาครัฐและเอกชน การปล่อยให้แอปยอดนิยมจากจีนเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของประชาชนจึงเท่ากับเปิดช่องโหว่ให้คู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาแทรกซึมได้โดยตรง

2. อิทธิพลต่อการเมืองและสังคม

หากในอดีตมหาอำนาจกังวลการแทรกแซงผ่านสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ ปัจจุบันแพลตฟอร์มอย่าง TikTok คือ “สื่อใหม่” ที่ทรงอิทธิพลยิ่งกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ใช้งานเป็นประจำทุกวัน

อัลกอริทึมของ TikTok มีพลังในการกำหนดว่า “เรื่องราวแบบใดจะถูกเล่าขยาย” และ “เรื่องใดจะถูกทำให้หายไปจากกระแส” หากถูกปรับเปลี่ยนโดยเจตนา สามารถสร้างทิศทางทางความคิดได้ในระดับสังคม และที่น่ากังวลคือ สามารถมีผลต่อ กระบวนการเลือกตั้งและการตัดสินใจทางการเมือง

สหรัฐฯ จึงมองว่า TikTok อาจกลายเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมืองรูปแบบใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้บอทหรือข่าวปลอมแบบเดิม ๆ แต่ใช้อัลกอริทึมในการชี้นำความคิดอย่างแนบเนียน ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ

3. มิติการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

อีกด้านหนึ่ง TikTok คือตัวแทนของความสำเร็จด้านนวัตกรรมดิจิทัลจากจีนที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ภายในเวลาไม่กี่ปี TikTok สามารถดึงผู้โฆษณาและฐานผู้ใช้จำนวนมหาศาลออกจากแพลตฟอร์มของ Meta และ Google

ในเชิงเศรษฐกิจ นี่คือการกระทบโดยตรงต่อบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันที่ครองตลาดมายาวนาน และในเชิงยุทธศาสตร์ รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ต้องการเห็นบริษัทจีนกลายเป็น “ผู้นำความบันเทิงดิจิทัล” ที่เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของคนอเมริกันมากกว่าบริษัทท้องถิ่นเอง

ดังนั้น การบังคับให้ ByteDance ต้องขาย TikTok US ให้บริษัทอเมริกัน ไม่เพียงทำให้การควบคุมข้อมูลกลับมาอยู่ในมือสหรัฐฯ แต่ยังช่วย ตัดคู่แข่งจีนออกจากตลาด และปกป้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศจากการแข่งขันที่เสียเปรียบ

4. การเมืองภายในและแรงกดดันทางกฎหมาย

นอกจากปัจจัยด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจแล้ว ยังมีแรงกดดันจากการเมืองภายในประเทศ สภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายบังคับ ByteDance ว่าต้องขาย TikTok US ภายในกรอบเวลา หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกสั่งแบนทั้งหมด

ฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่านี่คือมาตรการเพื่อ “ปกป้องชาติ” แต่ฝ่ายคัดค้านมองว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก และอาจสร้างความเสียหายต่อผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงครีเอเตอร์ที่พึ่งพาแพลตฟอร์มนี้เพื่อสร้างรายได้

ประเด็นนี้จึงสะท้อนความซับซ้อนทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ความมั่นคงของชาติ กับ เสรีภาพประชาชน ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน

5. สงครามข้อมูลและภูมิรัฐศาสตร์โลก

ในภาพใหญ่ที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นกับ TikTok คือการขยายตัวของ “สงครามเย็นดิจิทัล” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน โลกกำลังแบ่งขั้วด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

จีนต้องการผลักดันบริษัทเทคโนโลยีของตนให้แข่งขันในระดับโลก ขณะที่สหรัฐฯ ไม่ต้องการสูญเสียความเป็นผู้นำทางนวัตกรรมและข้อมูล การยึด TikTok จึงไม่ใช่แค่การป้องกันภัย แต่คือการยืนยันว่าพื้นที่ข้อมูลของคนอเมริกันจะไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลจีน

6. ทางเลือกในอนาคตของ TikTok

สถานการณ์ ณ กลางปี 2025 ทำให้เห็นสองทางเลือกชัดเจน  การขายกิจการบังคับ – ByteDance ต้องโอนสิทธิ์ TikTok US ให้บริษัทอเมริกัน ดีลนี้จะเป็นธุรกรรมที่ใหญ่และซับซ้อนระดับโลก

การแบนเต็มรูปแบบ – หากไม่สามารถขายได้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะปิดกั้นการเข้าถึงทั้งจาก App Store และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ผู้ใช้ในประเทศไม่สามารถใช้แอปได้

ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบใด เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่า โลกดิจิทัลไม่ใช่พื้นที่ไร้พรมแดนอย่างที่เคยเชื่อ แต่กลับถูกครอบงำด้วยความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ

เหตุผลที่สหรัฐฯ ต้องการ “ครอบครอง TikTok” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปกป้องข้อมูลหรือการคุ้มครองความมั่นคง แต่เชื่อมโยงกับหลายมิติพร้อมกัน ตั้งแต่การป้องกันการแทรกแซงทางการเมือง การรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ไปจนถึงการต่อสู้ในสงครามข้อมูลกับจีน

TikTok จึงไม่ใช่เพียงแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น แต่เป็น “สมรภูมิยุทธศาสตร์” ที่กำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในทศวรรษนี้ และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์ดิจิทัลโลกในอนาคต

วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,133 วันที่ 21 - 24 กันยายน พ.ศ. 2568