KEY
POINTS
ราคาทองคำยังทรงตัวอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์นี้ (8 ก.ย.68) โดยแตะ 3,593.79 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ 3,599.89 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หลังข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ เดือนสิงหาคมออกมาน้อยกว่าที่คาด
นักวิเคราะห์การเงินจาก Capital.com ไคล์ ร็อดดา กล่าวว่า "ปัจจัยหลักมาจากข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ และความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลง 50 จุดฐานในเดือนกันยายน แม้โอกาสจะไม่สูงมาก แต่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสำคัญจากก่อนหน้าที่ข้อมูลจ้างงานออกมา" เขายังเสริมว่าแรงหนุนแทบทุกด้านกำลังเอื้อต่อทองคำในขณะนี้ และคาดว่าจะทดสอบระดับ 3,600 ดอลลาร์ได้
รายงานเผยว่าการเติบโตของการจ้างงานในสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมากในเดือนสิงหาคม ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี สะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนตัวและยืนยันความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ข้อมูลจาก CME FedWatch ระบุว่าตลาดปรับราคาเต็มที่สำหรับการลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนนี้ ขณะที่มีโอกาส 8% ที่อาจลดแบบ 0.50%
การปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือทองคำซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนลดลง และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ทองคำถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ความสนใจในขณะนี้จึงมุ่งไปที่รายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะออกในวันพฤหัสบดี ซึ่งอาจให้ความชัดเจนเกี่ยวกับขนาดการลดดอกเบี้ยที่คาดการณ์โดยเฟด
ทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 37% ในปีนี้ หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2024 สาเหตุหลักมาจากความอ่อนค่าของดอลลาร์ การซื้อทองคำของธนาคารกลาง นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายตัว
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางจีนได้ซื้อทองคำเพื่อเพิ่มสำรองในเดือนสิงหาคม เป็นการซื้อทองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน นอกจากนี้ นักลงทุนทองคำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้เพิ่มสถานะสุทธิในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 2 กันยายนขึ้น 20,740 สัญญา อยู่ที่ 168,862 สัญญา
สำหรับโลหะมีค่าอื่น ๆ ราคาซิลเวอร์ปรับตัวลดลง 0.1% มาอยู่ที่ 40.92 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แพลทินัมเพิ่มขึ้น 1.5% สู่ 1,393.27 ดอลลาร์ และพัลลาเดียมปรับขึ้น 1.2% ที่ 1,123.20 ดอลลาร์
ราคาทองคำที่ใกล้แตะระดับสูงสุดตลอดกาลกำลังดึงดูดความสนใจทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนรุ่นใหม่ที่กำลังติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดโลกและนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด