อินเดียใกล้บรรลุดีลภาษีทรัมป์! EU เตรียมตอบโต้ บีบพันธมิตรหันหาจีน-อาเซียน

17 ก.ค. 2568 | 07:25 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ค. 2568 | 07:25 น.

ทรัมป์เร่งปิดดีลการค้ากับอินเดียและยุโรป ก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. ขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 30% ดัน EU เตรียมตอบโต้ บีบพันธมิตรหันหาจีน-อาเซียน

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเผยล่าสุดว่า สหรัฐฯ ใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้ากับอินเดีย และอาจเป็นไปได้กับยุโรป ขณะที่การเจรจากับแคนาดายังเร็วเกินไปจะฟันธงว่าจะมีข้อตกลงหรือไม่ โดยทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขเวลาเร่งรัดก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ซึ่งหากยังตกลงกันไม่ได้ ภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ จะพุ่งขึ้นทันทีอีกระลอก

การประกาศของทรัมป์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงถ้อยคำเชิงเจรจา แต่เป็นกลยุทธ์กดดันเต็มรูปแบบที่เขานำมาใช้อีกครั้งเพื่อบีบให้ประเทศคู่ค้าสำคัญต้องยอมอ่อนข้อให้กับเงื่อนไขของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอินเดียและสหภาพยุโรป (EU) ที่ต่างก็ส่งตัวแทนมาเจรจากับวอชิงตันในสัปดาห์นี้

ทรัมป์กล่าวอย่างชัดเจนว่า "เรากำลังใกล้บรรลุข้อตกลงกับอินเดีย และอาจทำได้กับยุโรป ซึ่งตอนนี้มีท่าทีดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา" พร้อมย้ำว่า EU เคย "โหดร้าย" ต่อสหรัฐฯ แต่ตอนนี้เริ่มยอมอ่อนข้อมากขึ้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมากคือแผนขึ้นภาษีนำเข้าจาก EU ถึง 30% ที่ทรัมป์ประกาศไว้จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม หากยังไม่มีข้อตกลงเกิดขึ้น ทำให้ EU เตรียมตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีมูลค่ารวมกว่า 84,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในสินค้าสำคัญของอเมริกา เช่น เครื่องบินโบอิ้ง เครื่องจักร ยานยนต์ และเบอร์เบิน

EU ยืนยันชัดว่ายังเปิดกว้างสำหรับการเจรจา แต่ไม่ยอมรับการข่มขู่ และพร้อมใช้มาตรการตอบโต้ที่ "เหมาะสมและได้สัดส่วน" หากถูกบีบให้ต้องตอบสนอง ท่าทีของ EU ที่แข็งกร้าวขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่การเจรจาดูเหมือนใกล้สำเร็จในช่วงก่อนหน้า แต่กลับถูกทรัมป์ปั่นป่วนด้วยการประกาศภาษีรอบใหม่อย่างไม่เป็นระบบ

นักวิเคราะห์ชี้ว่าความไม่แน่นอนจากทรัมป์ทำให้พันธมิตรขาดความเชื่อมั่น และลดโอกาสที่ประเทศอื่นจะยอมเจรจาต่อรอง เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเขาจะเปลี่ยนใจอีกเมื่อใด

ขณะเดียวกัน ความกดดันจากทรัมป์กลับกลายเป็นแรงผลักให้ EU หันไปกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด EU บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับอินโดนีเซีย และเดินหน้าเจรจากับไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์อย่างจริงจัง เป้าหมายคือกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

ทรัมป์เองก็เร่งประกาศดีลกับอินโดนีเซีย โดยระบุว่าอินโดนีเซียตกลงนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ และซื้อเครื่องบินโบอิ้งกว่า 50 ลำ พร้อมเปิดตลาดเกษตรกรรมให้สหรัฐฯ เข้าถึงอย่างเต็มรูปแบบ

แม้จะดูเป็นชัยชนะในเชิงภาพลักษณ์ของทรัมป์ แต่หลายฝ่ายเตือนว่าภาษีนำเข้าที่สูงเกิน 10-15% จะกระทบต่อราคาสินค้าในประเทศ ดันเงินเฟ้อ และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งยังเป็นสัญญาณเชิงลบต่อตลาดการเงินโลก

เสียงวิจารณ์สำคัญมองว่าแนวทางของทรัมป์อาจย้อนศรเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจจะแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า เพราะการข่มขู่แบบไม่เป็นระบบอาจทำให้ประเทศคู่ค้าหันไปหาทางเลือกอื่น เช่น จีน หรือกลุ่มประเทศในอาเซียน แทนที่จะยอมตามข้อเสนอของสหรัฐฯ