รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ เยือนอาเซียนครั้งแรก หวังฟื้นสัมพันธ์-สกัดอิทธิพลจีน

10 ก.ค. 2568 | 11:00 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ค. 2568 | 11:03 น.

"มาร์โก รูบิโอ" รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เยือนอาเซียนครั้งแรก หวังฟื้นสัมพันธ์พันธมิตร-สกัดอิทธิพลจีน ขณะทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีโหดใส่ 7 ชาติอาเซียน ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ก็ไม่รอด

แม้กำแพงภาษีจากรัฐบาลทรัมป์จะก่อตัวสูงขึ้นทุกวันจนสร้างความหวั่นไหวไปทั่วโลก แต่สหรัฐฯ ก็ยังพยายามเดินเกมการทูตในเอเชียอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐฯ และที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เดินทางเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีตัวแทนจากมหาอำนาจอย่างจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลียเข้าร่วมด้วย

รูบิโอประกาศชัดว่า อินโด-แปซิฟิก คือ “จุดศูนย์กลาง” ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมย้ำกับบรรดารัฐมนตรีจากอาเซียนว่า “ศตวรรษนี้ และศตวรรษหน้า เรื่องราวสำคัญของโลกจะถูกเขียนขึ้นในภูมิภาคนี้” ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า วอชิงตันยังไม่ละทิ้งภูมิภาคที่เปี่ยมศักยภาพนี้ แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์นั้นหมกมุ่นกับปัญหาในตะวันออกกลางและยุโรปมากกว่า

แต่ในขณะที่รูบิโอพยายามส่งสัญญาณสร้างความมั่นใจ พายุลูกใหญ่ในรูปของกำแพงภาษีกลับกำลังซัดอาเซียนอย่างรุนแรง เมื่อทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเริ่ม 1 สิงหาคมนี้ ใส่ 7 ประเทศอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา ไทย ลาว เมียนมา และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ พร้อมๆ กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% ลาวและเมียนมาโดน 40% อินโดนีเซีย 32% ส่วนฟิลิปปินส์ที่เป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาก็ไม่รอด ต้องจ่ายภาษีเพิ่มจาก 17% เป็น 20% ขณะที่เวียดนามเป็นประเทศเดียวที่เจรจาได้ผล ลดภาษีจาก 46% ลงเหลือ 20%

ประเทศส่งออกเป็นหลักอย่างอาเซียน ย่อมได้รับผลกระทบหนักจากนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ ซึ่งทำให้หลายประเทศตั้งคำถามถึงความจริงใจของวอชิงตัน ในการมีส่วนร่วมเชิงเศรษฐกิจและการทูตในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืน ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีอาเซียนที่รอยเตอร์สได้มา ระบุว่า รัฐมนตรีจะ “แสดงความกังวลต่อความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะจากการดำเนินการฝ่ายเดียวเกี่ยวกับภาษี” แม้ถ้อยคำจะไม่ระบุชื่อสหรัฐฯ โดยตรง แต่ก็สอดคล้องกับท่าทีที่อาเซียนเคยแสดงไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ระบุว่าการตั้งกำแพงภาษีเป็น “มาตรการที่ย้อนแย้ง และเสี่ยงต่อการทำให้เศรษฐกิจโลกแยกตัวออกจากกันมากขึ้น”

รูบิโอพยายามใช้เวทีนี้ในการสร้างความมั่นใจแก่ประเทศในภูมิภาคว่า สหรัฐฯ ยังเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ และเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าจีน ซึ่งถือเป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์สำคัญของวอชิงตัน โดยนักวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์จากศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ (CSIS) อย่าง วิคเตอร์ ชา มองว่า การเดินทางครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นความพยายามตอบโต้เกมรุกด้านการทูตและเศรษฐกิจของจีน แต่ก็ยอมรับว่า “มากันช้าไปหน่อย” เพราะรูบิโอเพิ่งเริ่มภารกิจในเดือนที่ 7 ของการดำรงตำแหน่ง

สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้ คือ การพบหารือระหว่างรูบิโอกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ที่มาเลเซีย ซึ่งอาจเป็นเวทีถกประเด็นร้อนในระดับโลกอีกหลากหลาย ทั้งในยูเครน ตะวันออกกลาง และแน่นอนว่า ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่สหรัฐฯ ต้องการฟื้นบทบาทกลับมาอีกครั้ง

ในขณะที่พันธมิตรเก่าอย่างออสเตรเลียก็เริ่มไม่พอใจเช่นกัน หลังจากมีข่าวว่า ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ายาเม็ดจากออสเตรเลียถึง 200% จนรัฐบาลออสเตรเลียต้องรีบออกมาประกาศว่า กำลัง “เร่งขอรายละเอียดเพิ่มเติม” อย่างเร่งด่วน

แม้รูบิโอจะเตรียมพูดคุยเรื่องการค้า และย้ำถึงความจำเป็นในการ “ปรับสมดุล” ความสัมพันธ์การค้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่นั่นอาจไม่เพียงพอหากสหรัฐฯ ไม่แสดงท่าทีจริงจังต่อการสร้างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน