แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จะออกมาประกาศว่า “การหยุดยิงมีผลบังคับใช้แล้ว โปรดอย่าละเมิด” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2025 และสื่อทางการของอิหร่านและอิสราเอลต่างรายงานตรงกันว่าทั้งสองฝ่ายได้เริ่มต้นการหยุดยิงแล้วอย่างไม่เป็นทางการ แต่ความสับสนเกี่ยวกับรายละเอียดและระยะเวลาที่แน่ชัดของข้อตกลงยังคงปกคลุมสถานการณ์ ทำให้หลายฝ่ายยังไม่กล้าคลายความระแวดระวัง โดยเฉพาะในภาคการขนส่งพลังงานและเดินเรือระหว่างประเทศที่ต้องพึ่งพาเส้นทางผ่านอ่าวเปอร์เซียและช่องแคบฮอร์มุซซึ่งยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
จากข้อมูลที่รายงานโดยรอยเตอร์พบว่า เรือบรรทุกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หลายลำเริ่มเบี่ยงเส้นทาง หรือหยุดลอยลำก่อนเข้าสู่เขตอ่าวเปอร์เซีย เช่นเรือ “Coswisdom Lake” และ “South Loyalty” ที่มีภารกิจขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลาง ได้เปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน โดยใช้วิธี “U-turn” หรือเคลื่อนที่แบบ “zig-zag” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ขณะที่บริษัทเดินเรือรายใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Nippon Yusen (NYK) และ Mitsui OSK Lines สั่งลดเวลาการล่องเรือในอ่าวเปอร์เซีย พร้อมเสริมมาตรการเฝ้าระวังผ่านระบบติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความตึงเครียดที่ยังปะทุอยู่ใต้ผิวน้ำ แม้จะมีสัญญาณหยุดยิง โดยรัฐสภาอิหร่านเพิ่งผ่านร่างกฎหมายให้เตรียมปิดช่องแคบฮอร์มุซเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ อิหร่านยังคงถูกคาดการณ์ว่าอาจใช้วิธีสงครามอสมมาตร เช่น โดรนโจมตี เรือเร็ว หรือการวางทุ่นระเบิด เพื่อสร้างแรงกดดันและตอบโต้ต่อความเคลื่อนไหวของอิสราเอล แม้จะไม่ได้เปิดฉากโจมตีโดยตรงในช่วงหยุดยิง
ผลกระทบต่อภาคโลจิสติกส์และตลาดพลังงานโลกเริ่มปรากฏชัด โดยอัตราค่าระวางเรือบรรทุกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นกว่าเท่าตัวในไม่กี่วัน อยู่ที่ 51,750-60,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน ขณะที่ค่าขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) แตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนจากอุปสงค์ที่พุ่งสูงและความกังวลเรื่องความปลอดภัย ค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับพื้นที่เสี่ยงก็พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบางบริษัทปรับเพิ่มมากกว่าร้อยละ 2 เพื่อรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
บริษัทเดินเรือรายใหญ่ทั่วโลก เช่น Hapag-Lloyd และ Maersk ได้หยุดรับเรือเข้าเทียบท่าที่เมืองฮัยฟา ประเทศอิสราเอลเป็นการชั่วคราว พร้อมตั้งทีมฉุกเฉินเพื่อประเมินความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ ร่วมมือกับบริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยอย่าง Control Risks และ Kroll เพื่อวางแผนทางเลือกหากต้องหลีกเลี่ยงการเดินเรือผ่านจุดอ่อนไหวในตะวันออกกลาง
แม้ช่องแคบฮอร์มุซยังไม่ถูกปิดอย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากอิหร่านเดินหน้าขัดขวางเส้นทางนี้อย่างเต็มรูปแบบ จะสร้างแรงสะเทือนอย่างรุนแรง เนื่องจากกว่าร้อยละ 20 ของการขนส่งน้ำมันทั่วโลก และร้อยละ 25 ของ LNG ผ่านทางช่องแคบนี้เพียงแห่งเดียว ทั้งยังอาจผลักดันราคาน้ำมันพุ่งแตะ 110-150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด
ระยะสั้น โลกต้องเผชิญกับราคาพลังงานที่ผันผวน ต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มสูง และความล่าช้าในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากตะวันออกกลางเป็นหลัก ความไม่แน่นอนแม้ภายใต้คำว่า “หยุดยิง” ยังคงบีบบังคับให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง