ทรัมป์ห้าม 12 ชาติ ‘เหยียบอเมริกา’ โลกโต้ตอบเดือด-NGO ลั่นฟ้องระลอกใหม่

06 มิ.ย. 2568 | 10:20 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มิ.ย. 2568 | 10:35 น.

สหรัฐฯ สั่งห้ามพลเมือง 12 ประเทศเข้าประเทศ ยกเหตุผลความมั่นคง จุดชนวนตอบโต้จากหลายชาติ แอฟริกาหนักใจ ชาดระงับวีซ่าคืน เอ็นจีโอจ่อฟ้องสิทธิมนุษยชน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งบริหารใหม่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2025 สั่งห้ามพลเมืองจาก 12 ประเทศเข้าสหรัฐอเมริกาโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ สร้างแรงกระเพื่อมทางการทูตในหลายทวีป และนำไปสู่กระแสวิพากษ์จากทั้งองค์กรระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และประเทศคู่ขัดแย้ง

คำสั่งดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2025 ครอบคลุม 12 ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน, เมียนมา, ชาด, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน และเยเมน โดยผู้ถือสัญชาติของประเทศเหล่านี้จะไม่สามารถยื่นขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ได้ในช่วงระยะเวลาที่คำสั่งยังมีผลบังคับ

นอกจากนี้ ยังมีการจำกัดการออกวีซ่าบางประเภทให้กับอีก 7 ประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ บุรุนดี, คิวบา, ลาว, เซียร์ราลีโอน, โตโก, เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา โดยเน้นหนักในหมวดวีซ่าชั่วคราว เช่น วีซ่านักเรียน วีซ่าท่องเที่ยว และวีซ่าทำงานบางประเภท สะท้อนจุดยืนของทรัมป์ที่เคยประกาศว่า “จะคัดกรองคนที่อเมริกาไม่ต้องการ” เพื่อยกระดับความมั่นคงและควบคุมชายแดนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

ทรัมป์ให้เหตุผลต่อคำสั่งนี้ว่า ประเทศที่ถูกสั่งห้ามมี “ระบบการตรวจสอบตัวตนที่ไม่น่าเชื่อถือ” และ “มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง” โดยเฉพาะความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้าย รวมถึงสถิติการอยู่เกินวีซ่าที่สูงผิดปกติ อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ยังคงมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น ผู้ถือกรีนการ์ด ผู้เดินทางเพื่อภารกิจพิเศษ เช่น นักกีฬาโอลิมปิก หรือผู้ถือวีซ่า SIV ที่ได้รับอนุมัติเป็นกรณีพิเศษในบางประเทศ

แต่สิ่งที่ตามมาทันทีคือปฏิกิริยาตอบรับจากหลากหลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ โดยหนึ่งในเสียงตอบโต้ที่ชัดเจนที่สุดมาจาก “สาธารณรัฐชาด” ซึ่งตัดสินใจระงับการออกวีซ่าให้กับพลเมืองสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ทันทีภายใน 24 ชั่วโมงหลังทรัมป์ลงนามคำสั่ง สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันทางการทูตที่กำลังก่อตัวขึ้น

ขณะเดียวกัน สหภาพแอฟริกา (African Union) ก็ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนคำสั่งนี้ โดยระบุว่า คำสั่งห้ามไม่ควรเป็นการตัดสินใจแบบฝ่ายเดียว ควรเป็นกระบวนการหารือร่วมกันมากกว่า เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและหลักการความเป็นธรรมในเวทีโลก

ในฝั่งของประเทศโซมาเลีย ซึ่งอยู่ในรายชื่อ 12 ประเทศที่ถูกแบน ได้แสดงท่าทีอย่างระมัดระวัง โดยระบุว่า “พร้อมเปิดโต๊ะเจรจา” กับรัฐบาลวอชิงตัน เพื่อหาทางแก้ไขข้อกังวลด้านความมั่นคง และปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบตัวบุคคลให้ได้มาตรฐานตามที่สหรัฐฯ ต้องการ

ไม่เพียงแต่รัฐบาลต่างประเทศเท่านั้นที่วิพากษ์คำสั่งนี้ แต่กลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนและ NGO หลายแห่งในสหรัฐฯ ต่างแสดงความกังวลอย่างมาก โดยชี้ว่าคำสั่งนี้อาจละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและถือเป็น “การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและสัญชาติ” อีกทั้งหลายฝ่ายเตรียมเดินหน้า “ยื่นฟ้อง” ต่อศาลแขวงหรือศาลสูงสุดในเร็ววันนี้ แม้ทำเนียบขาวจะมีการวางโครงสร้างทางกฎหมายไว้รองรับแล้ว โดยอาศัยบทเรียนจาก Travel Ban ในปี 2018 ที่เคยเผชิญการฟ้องร้องเช่นเดียวกัน

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการตอบโต้หลากหลายมุมโลก สิ่งที่แน่นอนคือ คำสั่งนี้ไม่ใช่เพียงมาตรการควบคุมพรมแดน แต่กำลังกลายเป็นสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์ในวาระนี้พร้อมเดินหน้ากลับไปสู่ยุทธศาสตร์ “America First” อย่างเต็มตัวอีกครั้ง ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะต้องถูกทดสอบมากแค่ไหนก็ตาม