ความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา กับ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดรวมสายตาของทั่วโลกในฐานะ “คู่มิตรผู้มีอำนาจ” อาจกำลังเดินทางมาถึงจุดแตกหักอย่างชัดเจน ท่ามกลางความขัดแย้งในสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำทั้งสองเริ่มเป็นที่จับตาตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยแรกในปี 2560 โดยทรัมป์มักกล่าวชื่นชมปูตินว่าเป็น “ผู้นำที่แข็งแกร่ง” และไม่ลังเลที่จะลดท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย แม้จะมีกรณีการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2559 โดยรัสเซีย ซึ่งหน่วยข่าวกรองอเมริกันยืนยันว่ามีมูล
ในช่วงเวลานั้น ความพยายามของทรัมป์ในการสร้างสัมพันธ์ส่วนตัวกับปูตินสะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำที่แน่นแฟ้นสามารถนำไปสู่สันติภาพระดับโลกได้ ทว่าแนวทางนี้ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้เผด็จการ
สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อปูตินสั่งรุกรานยูเครนในปี 2565 นำไปสู่ความขัดแย้งเต็มรูปแบบที่กินเวลานานเกินกว่าสองปี ทรัมป์ซึ่งพ้นตำแหน่งไปในขณะนั้น ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า หากตนยังเป็นประธานาธิบดี สงครามจะไม่เกิดขึ้น และเขาจะสามารถไกล่เกลี่ยให้เกิดการเจรจาได้ภายใน 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม หลังจากทรัมป์กลับมาสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งในต้นปี 2568 ท่าทีของเขากลับเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง สร้างความสับสนให้กับพันธมิตร NATO และชุมชนระหว่างประเทศ
ในเดือนพฤษภาคม 2568 หลังการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดของรัสเซียในกรุงเคียฟ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม Truth Social โดยกล่าวว่า “ปูตินกำลังเล่นกับไฟ” และเตือนว่ารัสเซียอาจเผชิญ “ผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่ามาก” หากเขาไม่เป็นประธานาธิบดีในขณะนี้
คำเตือนของทรัมป์ถือเป็นการเปลี่ยนจากน้ำเสียงที่เคยยกย่องปูติน มาเป็นการแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก นำไปสู่การตอบโต้จากอดีตประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ ของรัสเซีย ซึ่งกล่าวผ่าน Telegram ว่า “สิ่งเลวร้ายที่แท้จริงคือสงครามโลกครั้งที่ 3” แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่กำลังพุ่งสูง
แม้ทรัมป์จะเคยประกาศว่าเขามีแผน “หยุดยิงทันที” แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่รัสเซียยังคงเดินหน้าโจมตียูเครน และยึดครองพื้นที่ในแนวรบภาคตะวันออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระบุว่า การที่ทรัมป์พยายามทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” แต่ขณะเดียวกันก็มีท่าทีไม่ต่อเนื่อง อาจทำให้สถานการณ์ทางการทูตเข้าสู่ทางตัน ขณะที่ยูเครนเองแสดงท่าทีไม่ไว้ใจผู้นำสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย โดยกล่าวว่าสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ยังไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนต่อผู้รุกราน
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทรัมป์กับปูติน เป็นตัวอย่างของการที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำประเทศมหาอำนาจ อาจกลายเป็นข้อจำกัดของนโยบายต่างประเทศที่มีความซับซ้อน ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับสงครามที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ พลังงาน และความมั่นคงของทุกภูมิภาค
ความไม่แน่นอนในท่าทีของทรัมป์ทำให้พันธมิตรอย่าง NATO และ EU ต้องพึ่งพาความร่วมมือกันเองมากขึ้น และอาจเป็นตัวเร่งให้ยุโรปเร่งสร้างระบบป้องกันตนเองโดยไม่พึ่งพาสหรัฐฯ มากเท่าเดิม
ในขณะที่โลกกำลังเฝ้าจับตาท่าทีของผู้นำทั้งสอง ทรัมป์ยังคงเชื่อว่าตนเองสามารถใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อสร้างข้อตกลงที่โลกต้องการ แต่ความรุนแรงในยูเครน และการตอบโต้ของรัสเซียต่อคำเตือนของเขา อาจแสดงให้เห็นว่า “การเมืองของมิตรภาพ” ไม่เพียงพอในสงครามที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อและผลประโยชน์มหาศาล
ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับปูตินได้เดินทางจากความคาดหวังในอดีตมาสู่ความตึงเครียดในปัจจุบัน และไม่แน่ว่าเส้นทางต่อจากนี้จะนำไปสู่การยุติสงคราม หรือเพียงเพิ่มเชื้อไฟให้โลกเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยิ่งขึ้น