จีน-รัสเซีย ผนึกกำลังยกระดับร่วมมือต้านนโยบาย "ปิดกั้นสองชั้น" จากสหรัฐฯ

09 พ.ค. 2568 | 11:00 น.

ความสัมพันธ์จีน-รัสเซียแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์รอบด้าน ท่ามกลางแรงกดดันจากโลกตะวันตก พร้อมหนุนบทบาท UN และแนวคิดโลกหลายขั้ว

ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจอย่าง “จีน” และ “รัสเซีย” กลับปรากฏภาพของความแน่นแฟ้นชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ โดยเฉพาะการเยือนกรุงมอสโกของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ไม่เพียงเป็นการเข้าร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปี ชัยชนะในมหาสงครามผู้รักชาติแห่งสหภาพโซเวียตเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่ผู้นำทั้งสองได้ตอกย้ำ “ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน” อย่างแข็งขัน

ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากแนวคิดฝ่ายเดียว (Unilateralism) การเมืองเชิงอำนาจ และการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ผู้นำจีนและรัสเซียต่างส่งสัญญาณชัดเจนว่าพวกเขาจะยืนหยัดเคียงข้างกันในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอำนาจหน้าที่ของ UN และผลประโยชน์ของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้แสดงวิสัยทัศน์ว่าทั้งสองประเทศควร “ร่วมแบกรับความรับผิดชอบพิเศษ” ในการรักษาสันติภาพ ความยุติธรรม และธรรมาภิบาลระดับโลก พร้อมผลักดันโลกหลายขั้วที่เสมอภาคและเป็นระเบียบ ไม่ใช่โลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอำนาจจากบางกลุ่มชาติเท่านั้น

ด้านหนึ่งของความร่วมมือที่โดดเด่นคือการสนับสนุนบทบาทของ UN ในการกำกับดูแลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งจีนและรัสเซียต่างเห็นพ้องว่าควรเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ และไม่ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อค้ำจุนอำนาจนำของบางประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายต่างสนับสนุนการจัดประชุมความร่วมมือด้าน AI ระดับโลกในปี 2025 รวมถึงเปิดรับความร่วมมือในกรอบของกลุ่ม BRICS อย่างต่อเนื่อง

เมื่อมองลึกลงไปในแถลงการณ์ร่วมระหว่างสองผู้นำ ยังพบมิติของการตอบโต้นโยบาย “ปิดล้อมสองชั้น” (Double Containment) ที่จีนและรัสเซียมองว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรพยายามปลุกปั่นและชักจูงให้ประเทศต่าง ๆ แสดงท่าทีต่อต้านสองมหาอำนาจตะวันออกนี้ ทั้งยังตั้งข้อสังเกตถึงความเคลื่อนไหวของนาโตที่ขยายบทบาทเข้าสู่ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมถึงแนวคิดการแบ่งปันอาวุธนิวเคลียร์ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพยุทธศาสตร์ในระดับโลก

ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ สี จิ้นผิง และวลาดิเมียร์ ปูติน ต่างพูดถึงความจำเป็นในการ “รักษาความมุ่งมั่นและการประสานงานเชิงยุทธศาสตร์” โดยระบุว่าไม่มีพลังใดหยุดยั้งการฟื้นฟูและพัฒนาของทั้งสองประเทศได้ หากยังยึดมั่นในเส้นทางนี้ร่วมกัน ความสัมพันธ์จีน-รัสเซียจึงไม่ใช่เพียงพันธมิตรระยะสั้น แต่เป็น “ความร่วมมือระดับลึก” ที่ฝังรากในทั้งประวัติศาสตร์และผลประโยชน์ร่วมสมัย

เครดิตภาพ ซินหัว

ขณะเดียวกัน ผู้นำจีนยังพูดถึงบทบาทในอนาคต โดยเฉพาะในวาระครบรอบ 80 ปีชัยชนะสงครามโลกในปี 2025 ที่จะเป็นอีกหนึ่งจุดเน้นทางการเมืองและสัญลักษณ์ของความร่วมมือที่ยั่งยืน สี จิ้นผิง ย้ำว่าประชาชนจีนและรัสเซียได้ร่วมเสียสละในสงครามอดีตเพื่อสันติภาพของโลก และพันธกิจในการรักษาสันติภาพนั้นยังดำเนินต่อไป

น่าสนใจไม่น้อยว่า แม้จะถูกจับตาจากนานาชาติ โดยเฉพาะบทบาทของจีนในวิกฤตยูเครน แต่จีนยังยืนยันจุดยืน “เป็นกลาง” และพร้อมสนับสนุนทุกความพยายามที่นำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน ผ่านการเจรจาที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ปูตินเองก็ยกย่องความพยายามของจีน พร้อมระบุว่ารัสเซียเปิดรับการเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไขล่วงหน้า

เครดิตภาพ ซินหัว

เมื่อประเมินจากทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าความสัมพันธ์จีน-รัสเซียกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความลึกซึ้งทางยุทธศาสตร์ที่ไม่ใช่เพียง “เพื่อนบ้าน” ในเชิงภูมิศาสตร์ แต่เป็น “หุ้นส่วน” ที่ต้องการกำหนดระเบียบโลกใหม่ร่วมกัน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ และแรงดันจากชาติตะวันตก เส้นทางของความร่วมมือระหว่างสองประเทศนี้จึงยังน่าจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไปในทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง และเทคโนโลยีระดับโลก