สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจนิวเคลียร์ในเอเชียใต้ปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลอินเดียประกาศว่าได้เปิดฉากโจมตีทางทหารในปากีสถานช่วงเช้ามืดวันพุธ เพื่อตอบโต้เหตุโจมตีที่เกิดกับนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์เมื่อเดือนก่อน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพื้นที่พิพาทที่เรื้อรังและเปราะบางที่สุดของโลก
ด้านปากีสถานยืนยันว่าการโจมตีของอินเดียทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ราย พร้อมย้ำว่าตนได้ดำเนินการตอบโต้กลับเช่นกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้นำโลก และอาจกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างสองประเทศที่ต่างมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ว่า "มันเป็นเรื่องน่าเศร้า ผมเพิ่งทราบข่าว และเดาว่าหลายคนก็คงพอเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะทั้งสองประเทศต่อสู้กันมานานหลายทศวรรษ ผมหวังว่ามันจะจบลงโดยเร็ว" แสดงให้เห็นถึงความกังวลต่อประวัติศาสตร์ความขัดแย้งยาวนานระหว่างอินเดียและปากีสถาน
ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ ทวีตข้อความสนับสนุนจุดยืนของผู้นำสหรัฐฯ โดยระบุว่า "ผมกำลังติดตามสถานการณ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานอย่างใกล้ชิด ผมเห็นด้วยกับคำพูดของประธานาธิบดีที่หวังว่าสถานการณ์นี้จะจบลงอย่างรวดเร็ว และผมจะยังคงมีบทบาทในการติดต่อผู้นำทั้งสองประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดทางออกอย่างสันติ"
โฆษกของเลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส แสดงความกังวลต่อสถานการณ์รุนแรงนี้ โดยระบุว่า "เลขาธิการใหญ่รู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อปฏิบัติการทางทหารของอินเดียที่ข้ามเส้นควบคุมและพรมแดนระหว่างประเทศ เขาขอให้ทั้งสองประเทศใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างสูงสุด โลกไม่สามารถรับมือกับความขัดแย้งทางทหารระหว่างอินเดียและปากีสถานได้อีกแล้ว"
น้ำเสียงของสหประชาชาติสะท้อนถึงความกลัวต่อผลกระทบระดับโลก หากความตึงเครียดครั้งนี้ลุกลามไปถึงขั้นใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบระหว่างสองประเทศที่มีศักยภาพด้านอาวุธทำลายล้างสูง
ในฝั่งเอเชีย ญี่ปุ่นโดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โยชิมาสะ ฮายาชิ ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์ก่อการร้ายในแคชเมียร์เมื่อวันที่ 22 เมษายนว่า “ญี่ปุ่นขอประณามอย่างรุนแรงต่อการก่อการร้ายในแคชเมียร์ และมีความกังวลอย่างยิ่งว่าสถานการณ์นี้อาจนำไปสู่การโต้ตอบที่รุนแรงยิ่งขึ้น จนบานปลายเป็นความขัดแย้งทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ”
เขาเรียกร้องให้ทั้งอินเดียและปากีสถานใช้ความอดทนอดกลั้น และหาทางยุติสถานการณ์ผ่านการเจรจาเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียใต้
จีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเช่นกัน ออกมาแสดงความเสียใจต่อปฏิบัติการของอินเดีย โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุว่า “จีนรู้สึกเสียใจต่อการปฏิบัติการทางทหารของอินเดียในช่วงเช้าวันนี้ และรู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เราขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยึดถือผลประโยชน์โดยรวมของสันติภาพและเสถียรภาพ ดำรงความสงบ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก”
ขณะที่ท่าทีของอิสราเอลแตกต่างจากผู้นำหลายประเทศ โดยรูเวน อาซาร์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำอินเดียแถลงว่า “อิสราเอลสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตัวเองของอินเดีย ผู้ก่อการร้ายต้องรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีที่ให้ซ่อนตัวจากอาชญากรรมอันโหดเหี้ยมต่อผู้บริสุทธิ์”
คำแถลงนี้สะท้อนถึงจุดยืนของอิสราเอลที่มีความร่วมมือด้านความมั่นคงกับอินเดียมาโดยตลอด และให้การสนับสนุนมาตรการตอบโต้การก่อการร้ายอย่างแข็งกร้าว
แม้เหตุการณ์โจมตีจะเริ่มจากความรุนแรงในท้องถิ่นของแคชเมียร์ แต่ผลสะเทือนกลับลุกลามไกลเกินขอบเขตประเทศ ด้วยความเป็นเขตพิพาทที่สะสมความตึงเครียดมานานหลายสิบปี และเมื่อผนวกกับการที่ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างเป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ สถานการณ์เช่นนี้จึงกลายเป็นจุดเปราะบางที่โลกต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
เสียงสะท้อนจากผู้นำทั่วโลกล้วนเตือนเป็นเสียงเดียวกันถึงความจำเป็นในการยับยั้งชั่งใจ และการเปิดเวทีเจรจา เพราะในสงคราม ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง โดยเฉพาะเมื่อความสูญเสียอาจลุกลามไกลถึงระดับที่โลกไม่สามารถแบกรับได้อีกต่อไป