รอยเตอร์รายงานว่า สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานได้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 7 พ.ค. หลังจากอินเดียได้ยิงขีปนาวุธโจมตีเป้าหมาย 9 แห่งในปากีสถานและแคชเมียร์ฝั่งปากีสถาน นับเป็นการปะทะที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปีระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งสองประเทศ
โฆษกกองทัพปากีสถานเปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตชาวปากีสถานแล้ว 8 ราย บาดเจ็บ 35 ราย และสูญหาย 2 ราย ขณะที่ รัฐมนตรีกลาโหมปากีสถาน นายคาวาจา มูฮัมหมัด อาซิฟ ยืนยันว่า อินเดียยิงขีปนาวุธจากน่านฟ้าของตนเอง และการอ้างว่าโจมตี "ค่ายของผู้ก่อการร้าย" เป็นเรื่องเท็จ
ทางด้านอินเดียระบุว่า ปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่ "โครงสร้างพื้นฐานของผู้ก่อการร้าย" ที่มีการวางแผนและสั่งการโจมตีอินเดีย แหล่งข่าวด้านกลาโหมอินเดียเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า กองกำลังอินเดียได้โจมตีเป้าหมายที่เป็นที่ตั้งของกลุ่มติดอาวุธอิสลามในปากีสถาน
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา มาร์โก รูบิโอ กล่าวว่า สหรัฐฯ กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะเดินหน้าเจรจากับทั้งผู้นำอินเดียและปากีสถานเพื่อหาทางยุติความขัดแย้งอย่างสันติ
การโจมตีของอินเดียครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากเหตุโจมตีนักท่องเที่ยวชาวฮินดูในแคชเมียร์ฝั่งอินเดียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กลุ่มผู้ก่อการร้ายอิสลามได้สังหารชายชาวฮินดู 26 คนในการโจมตีเมื่อวันที่ 22 เมษายน ซึ่งถือเป็นความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุดที่มุ่งเป้าไปที่พลเรือนในอินเดียในรอบเกือบ 20 ปี
ปากีสถานปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารครั้งนี้ และยืนยันว่าได้รับข้อมูลข่าวกรองว่าอินเดียวางแผนที่จะโจมตี
โฆษกกองทัพปากีสถานแจ้งกับรอยเตอร์ว่า ปากีสถานได้ยิงเครื่องบินของอินเดียตก 5 ลำ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินรบ Rafale 3 ลำ Su-30 หนึ่งลำ และ MiG-29 อีกหนึ่งลำ โดยการยิงเกิดขึ้นขณะที่เครื่องบินอินเดียอยู่ในน่านฟ้าของอินเดียเอง
กองทัพอินเดียได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X หลังการโจมตีว่า "ความยุติธรรมได้รับการรับใช้แล้ว"
นายกรัฐมนตรีปากีสถานกล่าวว่า "การตอบโต้อย่างเด็ดขาดกำลังดำเนินการอยู่แล้ว" ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ชีค อับดุลลาห์ บิน ซายิด เรียกร้องให้อินเดียและปากีสถานใช้ความอดกลั้น ลดความตึงเครียด และหลีกเลี่ยงการยกระดับความรุนแรงที่อาจคุกคามสันติภาพในภูมิภาคและระหว่างประเทศ
รัฐมนตรีต่างประเทศ UAE ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับฟังเสียงเรียกร้องให้มีการเจรจาและความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อป้องกันการยกระดับทางทหาร เสริมสร้างเสถียรภาพในเอเชียใต้ และหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาคที่อาจเพิ่มมากขึ้น
สถานการณ์ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินในภูมิภาคแล้ว สายการบิน Qatar Airways ได้ระงับเที่ยวบินไปยังปากีสถานชั่วคราว ขณะที่สายการบิน Air India ได้ยกเลิกและเปลี่ยนเส้นทางเที่ยวบินบางส่วน นอกจากนี้ สายการบิน SpiceJet ยังประสบกับการหยุดชะงักของเที่ยวบินเช่นกัน
ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์ในเอเชียใต้ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความกังวลของประชาคมโลกที่อาจนำไปสู่การยกระดับความรุนแรงที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาค