ภาษีทรัมป์ ทุบเศรษฐกิจสหรัฐไตรมาสแรกหดตัวรอบ 3 ปี เหตุนำเข้าพุ่ง

01 พ.ค. 2568 | 01:56 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ค. 2568 | 02:04 น.

เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัว 0.3% ในไตรมาสแรก ครั้งแรกในรอบ 3 ปี เหตุธุรกิจเร่งนำเข้าก่อนมาตรการภาษีของทรัมป์มีผล นักเศรษฐศาสตร์เตือนเสี่ยงเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะงักงันพร้อมเงินเฟ้อ

ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ปี 2568 หดตัว 0.3% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2565 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยภาคธุรกิจเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะมีผลบังคับใช้

รายงานจีดีพีล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าที่ผันผวนของรัฐบาลทรัมป์ แม้ว่าภาคการบริโภคจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่ยังคงเติบโตในระดับที่น่าพอใจที่ 1.8% ขณะที่ภาคธุรกิจเพิ่มการลงทุนในอุปกรณ์ โดยเฉพาะด้านการประมวลผลข้อมูลและการขนส่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 22.5%

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่าทั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภคและธุรกิจน่าจะสะท้อนถึงการเร่งซื้อสินค้าก่อนที่อัตราภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งรายงานนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นของชาวอเมริกันต่อการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง

สงครามการค้ากับจีนทวีความรุนแรง

มูลค่าการนำเข้าพุ่งสูงขึ้นถึง 41.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ในช่วงการระบาดของโควิด-19

การเพิ่มขึ้นของการนำเข้านี้ส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้าขนาดใหญ่ ซึ่งฉุดตัวเลขจีดีพีลงถึง 4.83 เปอร์เซ็นต์พอยต์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในไตรมาสที่สองเมื่อผลกระทบจากการนำเข้าเริ่มจางหายไป แต่อาจไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยหรือช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างซบเซาพร้อมกับเงินเฟ้อสูง ที่เรียกว่า "ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันพร้อมเงินเฟ้อ" (stagflation)

"หากการพุ่งขึ้นของการค้าเป็นผลมาจากการที่บริษัทเร่งซื้อสินค้านำเข้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี การขาดดุลการค้าจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาสที่สอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีบ้าง อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนที่กัดกร่อนและภาษีที่สูงขึ้น - ภาษีนำเข้าเป็นภาษีอย่างหนึ่ง - จะฉุดการเติบโตของจีดีพีกลับเข้าสู่แดนลบภายในสิ้นปีนี้" คาร์ล ไวน์เบิร์ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ High Frequency Economics กล่าว

ทรัมป์ส่งสัญญาณสับสน ฝ่ายตรงข้ามโจมตีรุนแรง

ทรัมป์และทีมที่ปรึกษาพยายามสื่อสารเกี่ยวกับตัวเลขจีดีพีในหลายแนวทาง โดยทรัมป์โทษอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน สำหรับจีดีพีที่อ่อนแอ และพยายามเน้นย้ำความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาคธุรกิจ

"เรามีตัวเลขที่แสดงว่า แม้จะได้รับมรดกตกทอดแบบนี้ แต่เราก็สามารถพลิกกลับมาได้" ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาว

ในขณะเดียวกัน ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา กล่าวในแถลงการณ์ว่า "โดนัลด์ ทรัมป์กำลังทำให้ประเทศล่มสลาย" และเรียกร้องให้ "ทรัมป์ยอมรับความล้มเหลวและเปลี่ยนทิศทาง พร้อมทั้งปลดทีมเศรษฐกิจของเขาทันที"

ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ พยายามลดความสำคัญของตัวเลขจีดีพี โดยระบุว่า "นี่คือตัวเลขติดลบที่ดีที่สุดที่ผมเคยเห็นในชีวิต มันควรเป็นข่าวดีมากสำหรับอเมริกา" และอธิบายว่าจีดีพีลดลงเพราะธุรกิจกำลังซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อเตรียมรับมือกับภาษี ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวของทรัมป์บนโซเชียลมีเดียที่ว่าภาษีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นที่ลดลง

ตลาดหุ้นร่วง-ความเชื่อมั่นดิ่งเหว

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี และความเชื่อมั่นทางธุรกิจก็ลดลงอย่างมาก ขณะที่สายการบินได้ถอนการคาดการณ์ทางการเงินประจำปี 2568 โดยอ้างถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการใช้จ่ายสำหรับการเดินทางที่ไม่จำเป็นเนื่องจากภาษี ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าจะเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทและครัวเรือน

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทซื้อขายในแดนลบหลังจากรายงานจีดีพี ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ลดลง

นักวิเคราะห์มองว่ารายงานนี้จะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมสัปดาห์หน้า

"จีดีพีที่อ่อนแอเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจชะงักงันพร้อมเงินเฟ้อที่กำลังคืบคลานเข้ามา" เอลเลน เซ็นท์เนอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ Morgan Stanley Wealth Management กล่าว "ข้อมูลประเภทนี้จะไม่ช่วยให้ตลาดสงบลงและจะไม่ทำให้งานของเฟดง่ายขึ้น"

ที่มา: รอยเตอร์