เกาหลีใต้เตรียมดีลทรัมป์ หวังลดภาษี สานต่อเมกะโปรเจกต์เรือ-รถ-พลังงาน

24 เม.ย. 2568 | 07:30 น.

เกาหลีใต้เปิดฉากเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หวังลดภาษีนำเข้ารถยนต์ พร้อมชูอุตสาหกรรมต่อเรือและพลังงานเป็นไพ่ต่อรองหลัก ขณะเดียวกันยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการเมืองภายในประเทศ

เกาหลีใต้ลงสนามเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการกับสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดีนี้ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการต่อรองเพื่อลดภาษีนำเข้า ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 25% โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจการส่งออกของเกาหลีใต้ ขณะที่ยังมีประเด็นที่น่าจับตาอย่างความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมต่อเรือ การจัดซื้อพลังงาน และต้นทุนการป้องกันประเทศ ที่อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจการเจรจาร่วมด้วย

การเจรจาครั้งนี้จัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยเป็นความริเริ่มจากฝั่งสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่หวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง และได้ผลักดันมาตรการด้านภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างเข้มข้น โดยเกาหลีใต้ถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรเอเชียรายแรกที่ต้องเข้าสู่การเจรจา หลังจากสหรัฐฯ เพิ่งพบหารือกับญี่ปุ่นซึ่งโดนภาษีตอบโต้ไปแล้วเช่นกัน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชเว ซังมก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อัน ด็อกกึน ของเกาหลีใต้ มีกำหนดพบกับรัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ สก็อต เบสเซนต์ และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมิสัน เกรียร์ บนเวทีการประชุม IMF และธนาคารโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อหาทางออกที่เป็น “Win-Win” ให้กับทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในสามประเด็นหลัก ได้แก่ ดุลการค้า อุตสาหกรรมต่อเรือ และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)

ประเด็นนี้เกิดขึ้นหลังจากการโทรศัพท์หารือระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีรักษาการของเกาหลีใต้ ฮัน ด็อกซู เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ที่ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยถึงโครงการจัดซื้อพลังงานจากอะแลสกา ความร่วมมือด้านการต่อเรือ และภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลกองทัพสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ในเกาหลีใต้ราว 28,500 นาย

แม้ประธานาธิบดีรักษาการฮันจะส่งสัญญาณว่ารัฐบาลของเขาพร้อมต่อรองเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของชาติ แต่การที่เกาหลีใต้อยู่ภายใต้รัฐบาลรักษาการท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ก็ทำให้การเจรจาครั้งนี้ถูกมองว่ายังไม่อาจคาดหวังข้อตกลงที่ชัดเจนได้ในระยะสั้น โดย โอ ซอกแท นักเศรษฐศาสตร์จาก Societe Generale ระบุว่า ความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมอาจต้องรอหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบฉุกเฉินที่จะจัดขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการถอดถอนอดีตประธานาธิบดี ยุน ซอกยอล จากความพยายามประกาศกฎอัยการศึกที่ล้มเหลว

แม้จะอยู่ในฐานะรักษาการ แต่ฮัน ด็อกซู ได้ออกสื่อหลายครั้งเพื่อแสดงจุดยืนว่าเกาหลีใต้จะไม่ต่อต้านสหรัฐฯ โดยกล่าวว่า “ประเทศเรายังเป็นหนี้บุญคุณสหรัฐฯ จากสงครามเกาหลี” ขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งหากเขาสามารถเจรจาให้สหรัฐฯ ยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์ของเกาหลีใต้ได้สำเร็จ ก็อาจกลายเป็นแรงหนุนสำคัญในการก้าวขึ้นเป็นตัวเต็งในสนามการเมือง

ทั้งนี้ เกาหลีใต้ประสบกับดุลการค้าที่เกินดุลต่อสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 มูลค่าการเกินดุลพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25% จากปี 2023 และเกือบห้าเท่าจากเมื่อปี 2019 ทำให้ตกเป็นเป้าการโจมตีด้านการค้าจากรัฐบาลทรัมป์มาโดยตลอด

เกาหลีใต้เลือกที่จะหยิบอุตสาหกรรมต่อเรือขึ้นมาเป็น “ไพ่สำคัญ” ในการเจรจา โดยประเทศเป็นผู้ผลิตเรือใหญ่อันดับสองของโลก รองจากจีน และได้รับแรงสนับสนุนจากทรัมป์โดยตรงที่ต้องการให้มีความร่วมมือด้านนี้ ขณะที่ประเด็นโครงการก๊าซจากอะแลสกานั้น เกาหลีใต้ยังคงยืนกรานจุดยืนแบบระมัดระวัง โดยระบุว่าการเข้าร่วมอาจเกิดขึ้นได้ในกรอบของแพ็คเกจเจรจา หากมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเพียงพอ

ท่ามกลางแรงกดดันด้านภาษี รถยนต์เป็นสินค้าส่งออกที่เปราะบางที่สุด โดยยอดขายรถยนต์ของเกาหลีใต้ในตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นถึง 49% ของการส่งออกรถยนต์ทั้งหมด ส่งผลให้รัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินแก่บริษัทรถยนต์รายใหญ่ เช่น ฮุนได และเกีย

ในด้านการหารือเรื่องต้นทุนการประจำการของทหารอเมริกันในเกาหลีใต้ แม้รัฐมนตรีอุตสาหกรรม อัน ด็อกกึน ระบุว่าเกาหลีใต้เตรียมพร้อมหากประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา แต่รัฐมนตรีต่างประเทศ โช แทยุล ยืนยันต่อสภาว่าจะไม่ให้นำเรื่องนี้ไปผูกกับการเจรจาทางการค้าโดยเด็ดขาด