Disney+ ยักษ์วิดีโอสตรีมมิ่ง ลูกค้าหาย 7 แสนราย หลังประกาศขึ้นราคา

06 ก.พ. 2568 | 00:59 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.พ. 2568 | 11:15 น.

Disney ยักษ์ใหญ่วงการบันเทิงรายงานผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปี 68 พบว่าสูญเสียผู้สมัครสมาชิกวิดีโอสตรีมมิ่ง Disney+ ไปถึง 700,000 ราย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริการ

Disney+ มีผู้สมัครสมาชิก 124.6 ล้านราย ลดลงจากเดิม 125.3 ล้านราย สาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นราคาค่าบริการ โดย Disney+ แบบมีโฆษณาปรับจาก 7.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 272 บาท) เป็น 9.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 340 บาท) ส่วนแบบไม่มีโฆษณาเพิ่มจาก 13.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 476 บาท) เป็น 15.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 544 บาท) นอกจากนี้ยังมีการปราบปรามการแชร์รหัสผ่าน และการลดงบประมาณผลิตคอนเทนต์ใหม่

Disney+ ยักษ์วิดีโอสตรีมมิ่ง ลูกค้าหาย 7 แสนราย หลังประกาศขึ้นราคา บ็อบ ไอเกอร์ ซีอีโอ Disney ที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในปี 65 ได้ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจสตรีมมิ่งให้ทำกำไร โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ หลังจากถูกแฟนๆ วิจารณ์ว่าผลิตคอนเทนต์มากเกินไปจนทำให้แบรนด์ Disney อ่อนค่าลง ล่าสุด Disney+ สามารถทำกำไรได้แล้วเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะคุ้มทุนภายในสิ้นปี 67

ความท้าทายสำคัญของ Disney+ คือการมีคลังคอนเทนต์ที่เล็กกว่า Netflix คู่แข่งรายใหญ่ ทำให้ผู้ใช้มักสมัครสมาชิกเพื่อดูซีรีส์เรื่องใหม่แล้วยกเลิกทันที อีกทั้งการที่ Disney+ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและวัยรุ่นก็เป็นการจำกัดฐานผู้ชมด้วย ขณะที่ Netflix ยังคงทุ่มงบ 17-18 พันล้านดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 578,000-612,000 ล้านบาท) ในการผลิตคอนเทนต์ใหม่

สำหรับปี 68  Disney วางแผนใช้งบ 24 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 816,000 ล้านบาท) สำหรับคอนเทนต์ใหม่ แต่ 40% ของงบประมาณจะถูกใช้ไปกับลิขสิทธิ์กีฬา ส่งผลให้งบสำหรับผลิตรายการทีวีและภาพยนตร์อาจลดลง อย่างไรก็ตาม Disney ยังมีจุดแข็งในด้านคอนเทนต์สำหรับเด็กและครอบครัว รวมถึงธุรกิจสวนสนุกที่ยังคงทำรายได้อย่างต่อเนื่อง

Disney+ ยักษ์วิดีโอสตรีมมิ่ง ลูกค้าหาย 7 แสนราย หลังประกาศขึ้นราคา ด้าน Hulu บริการสตรีมมิ่งอีกแพลตฟอร์มของ Disney กลับมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านราย รวมเป็น 53.6 ล้านราย แสดงให้เห็นว่าผู้ชมอาจต้องการความหลากหลายของเนื้อหามากกว่าที่ Disney+ นำเสนอ

ภาพรวมธุรกิจของ Disney ทำผลงานได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์ โดยมีกำไรต่อหุ้น 1.76 ดอลลาร์ จากรายได้ 24.7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 839,800 ล้านบาท) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่กำไรต่อหุ้น 1.43 ดอลลาร์ บนรายได้ 24.55 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 834,700 ล้านบาท)

แม้ Disney+ จะประสบปัญหาการสูญเสียผู้ใช้งาน แต่ธุรกิจสวนสนุกยังคงเป็นจุดแข็งที่ช่วยสร้างรายได้ให้บริษัท เกิดเป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ เมื่อเด็กๆ ที่ดูคอนเทนต์ของ Disney ต้องการไปเที่ยวสวนสนุก ซึ่งราคาตั๋วในปัจจุบันค่อนข้างสูง นับเป็นข้อได้เปรียบที่คู่แข่งในธุรกิจสตรีมมิ่งไม่มี

ขณะที่ Netflix ยังคงครองความเป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่งอย่างไม่มีใครเทียบ โดยในช่วงท้ายปี 68 สามารถเพิ่มผู้สมัครสมาชิกได้ถึง 19 ล้านราย ทำให้มียอดผู้ใช้งานทะลุ 300 ล้านรายเป็นครั้งแรก ความสำเร็จนี้มาจากการเปิดตัวแพ็กเกจที่มีโฆษณาและการทดลองถ่ายทอดสดรายการต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

สำหรับอนาคต Disney คาดว่า Disney+ จะยังคงเป็นบริการที่ผู้ปกครองเลือกสมัครใช้งาน เนื่องจากมีเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ขณะที่ ESPN+ บริการสตรีมมิ่งกีฬาของบริษัท อาจกลายเป็นความหวังใหม่ในอนาคต เมื่อการถ่ายทอดสดกีฬาเริ่มย้ายแพลตฟอร์มจากทีวีมาสู่การสตรีมมิ่งมากขึ้น

ที่มา Gizmodo