ผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ที่จัดทำโดย National Association of Business Economics (NABE) ของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (12 ก.พ.) พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่ที่ตอบคำถามการสำรวจ เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้จะไม่เข้าสู่ ภาวะถดถอย โดยมีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ที่เชื่อว่าเศรษฐกิจปี 2024 จะถดถอย โดยปัจจัยที่จะทำให้เป็นเช่นนั้นได้ เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่มาจากภายนอกประเทศซึ่งรวมถึงประเด็นความขัดแย้งกับจีน มากกว่าปัจจัยภายในประเทศ เช่น ดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในอัตราสูง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนยังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในปีนี้จะสูงกว่าระดับ 2.5% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดตั้งเป้าเอาไว้
ในปี 2566 หลายฝ่ายประเมินว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก จะหดตัวหนักและเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) ถึงแม้เฟดจะเดินหน้านโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศเพื่อรับมือกับการปรับขึ้นของเงินเฟ้อมาตั้งแต่ปี 2564
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ได้ปรับลดลงจากระดับสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2565 มาอยู่ที่ระดับเพียง 3.4% ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของสหรัฐก็กลับมาขยายตัว “อย่างผิดคาด” และอัตราการจ้างงานก็ปรับเพิ่มขึ้นด้วย โดยนายจ้างต่างพยายามหลีกเลี่ยงการปลดพนักงานมาโดยตลอดแม้ว่าดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์มีความหวังเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจภายในประเทศของสหรัฐ ทั้งจากเงินเฟ้อที่ปรับลดลงและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้พวกเขาเชื่อว่าเฟดจะสามารถบรรลุสภาวะ "ซอฟต์แลนดิ้ง" ที่คาดหวัง คือสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้ลดลงมาได้โดยไม่ต้องเผชิญเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในระยะหลังนี้ชี้ให้เห็นว่า เฟดได้ยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ทั้งยังส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
ถึงกระนั้น 6 ใน 10 ของนักเศรษฐศาสตร์ผู้ตอบแบบสอบถามของ NABE ยังคงมีความกังวลอยู่บางประการ ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นปัจจัยอุปสรรคที่ส่งผลกระทบฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯที่กำลังฟื้นตัวได้ นั่นคือ
ข้อมูลอ้างอิง