ดีลควบรวมทรู-ดีแทค "เทเลนอร์" ต้องการเสริมแกร่งหรือเตรียมถอย?

16 ม.ค. 2566 | 09:50 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ม.ค. 2566 | 13:38 น.

ย้อนดูการควบรวมกิจการของ "เทเลนอร์" ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจากนอร์เวย์ ที่เพิ่งประสบความสำเร็จปิดดีลควบรวมทรู-ดีแทคในไทยภายใต้ยุทธการ Growth 2.0

ย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2565 ก่อนการควบรวมกิจการทรูกับดีแทคจะจบดีล นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทเลนอร์ กรุ๊ป จากนอร์เวย์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ ดีแทค ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ "ดีแทค" (DTAC)ในไทย เปิดเผยกับสื่อว่า เทเลนอร์ มี วิสัยทัศน์ Growth 2.0 ในการทำธุรกิจอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียสำหรับช่วง 25 ปีข้างหน้า

โดยจะเป็นธุรกิจในรูปแบบของการเป็น  "บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี" หรือ Telecom-Tech Company เพื่อให้สามารถแข่งขันกับยักษ์ไอทีระดับโลกได้ หลังจากที่เทเลนอร์ได้เดินหน้า "ควบรวมธุรกิจ" มาในหลายประเทศ


สมรภูมิการแข่งขันเปลี่ยนแปลง กลยุทธ์ก็ต้องปรับตาม

"ในช่วงที่ผ่านมา ดีแทคเจอการเปลี่ยนแปลงของคู่แข่งทั้งการที่ออเร้นจ์ออกจากตลาดกลายมาเป็นทรู เมื่อรวมกับคู่แข่งรายสำคัญอย่างเอไอเอส ทำให้การแข่งขันที่เกิดขึ้นมีความน่าสนใจทั้งการแข่งขันทางด้านราคา รูปแบบการทำตลาดที่สร้างสรรค์ และทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์" นายเบรคเก้กล่าว ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสังเกตว่า 

ซิคเว่ เบรคเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเทเลนอร์ กรุ๊ป

คู่แข่งของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในขณะนี้ ไม่ใช่เฉพาะคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันเท่านั้น แต่เปลี่ยนไปเป็นบริษัทไอทีที่ให้บริการดิจิทัลด้วย ไม่ว่าจะเป็น AWS Google และ Microsoft ที่แม้จะเป็นพันธมิตรกับเทเลนอร์ แต่ก็เป็นคู่แข่งในระดับโลก ไม่ใช่เฉพาะการแข่งขันในระดับท้องถิ่นเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการที่จะแข่งขันกับผู้ให้บริการดิจิทัลเหล่านี้ เทเลนอร์มองเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัว เช่นด้วยการ "ควบรวมกิจการ" เพื่อเพิ่มความสามารถในแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่การให้บริการด้านเทคโนโลยีที่ไม่ได้อยู่เฉพาะการให้บริการแก่ผู้บริโภคทั่วไป แต่เข้าสู่การให้บริการในภาคธุรกิจ ที่จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ เบรคเก้จึงมองว่า การจับมือกับกลุ่มซีพี (ทรู)เพื่อที่จะสร้างบริษัทโทรคมนาคมและเทคโนโลยี หรือ Telecom-Tech Company ขึ้นมา เพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ Growth 2.0 ด้วยการตั้งบริษัทใหม่ร่วมกันและดึงส่วนที่ดีจากทั้ง 2 องค์กรมาปรับใช้ จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนไทยอย่างแน่นอน

ข่าวแถลงของเทเลนอร์ที่ปรากฏบน เว็บไซต์ของบริษัท  เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้ถือเป็นบาทฐานที่สำคัญสำหรับเทเลนอร์ในการที่จะสร้างความแข็งแกร่งในตลาดภูมิภาคเอเชีย และขณะเดียวกันบริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นก็จะทำให้คนไทยและสังคมไทยได้ประโยชน์จากบริการในระดับเวิลด์คลาสและนวัตกรรมใหม่ๆ ขณะเดียวกัน สถานะการลงทุนที่แข็งแกร่งขึ้นในเอเชียก็จะสร้างมูลค่ากลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นของเทเลนอร์

จากนี้ไป เทเลนอร์จะเน้นสร้างประโยชน์จากการควบรวมกิจการให้เห็นเป็นรูปธรรม ทั้งการควบรวมในไทยและมาเลเซีย ที่เพิ่งปิดดีลได้สำเร็จด้วยดีเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา (2565) ขณะเดียวกัน ก็จะแสวงหาโอกาสทางยุทธศาสตร์ธุรกิจให้กับ "เทเลนอร์เอเชีย" (Telenor Asia) องค์กรธุรกิจอิสระในการบริหารงานในระดับภูมิภาค โดยมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ มีอำนาจเต็มในการดูแลและรับผิดชอบการดำเนินงานของธุรกิจในประเทศไทย มาเลเซีย บังกลาเทศ และปากีสถาน 

การควบรวมกิจการของเทเลนอร์ในประเทศอื่นๆ

ยกตัวอย่างล่าสุด เทเลนอร์สามารถปิดดีลควบรวมกิจการอย่างราบรื่นในประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา (2565)โดยบริษัทเซลคอม (Celcom)ในเครือแอกเซียตา (Axiata)ผู้ให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่นของมาเลเซีย และ ดิจิ (Digi) บริษัทในเครือของเทเลนอร์ ได้รับอนุมัติการควบรวมกิจการจากทางคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ภายใต้เหตุผลที่ว่า หลังจากควบรวมกิจการกันแล้ว บริษัทใหม่ในชื่อเซลคอม ดิจิ (Celcom Digi) ที่เกิดขึ้นจะสามารถนำนวัตกรรมต่างๆ มาให้บริการเพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภคในมาเลเซีย กรณีดังกล่าวมีความคล้ายคลึงการควบรวมระหว่างดีแทคและทรูอยู่มาก 

ในกรณีของเซลคอม ดิจิ ทั้งฝ่ายแอกเซียตาและเทเลนอร์จะถือหุ้นฝ่ายละ 33.1% หลังการควบรวมกิจการบริษัทใหม่นี้จะมีสมาชิกผู้ใช้บริการในทันที 20 ล้านคน รายได้รวมประมาณ 13,000 ล้านริงกิต หรือราว 2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ      

นายเยอเก้น คริสเตียน อาเร้นท์ โรสทริป รองประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชียของเทเลนอร์ (เทเลนอร์ เอเชีย) ซึ่งปัจจุบันมีชื่ออยู่ในคณะกรรมการใหม่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และเป็นคีย์แมนในการดูแลธุรกิจหลังการควบรวมกิจการของเทเลนอร์ เปิดเผยหลังปิดดีลในมาเลเซียได้สำเร็จเมื่อเดือนธ.ค.2565 ว่า...

เทเลนอร์จะยังเป็นผู้ถือหุ้นที่แข็งขัน(ในบริษัทใหม่ที่เกิดขึ้น) และพร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่มีทั่วโลก มาให้ความสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้กับบริษัทใหม่ ในเบื้องต้นบริษัทเซลคอม ดิจิ จะลงทุนอีก 250 ล้านริงกิตในระยะ 5 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างศูนย์สร้างสรรค์นวัตกรรม (innovation center) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI),5G, cloud computing และ IoT

กรณีการถอนยวงการลงทุนก็เคยมีมา
ปัจจุบัน นอกจากไทยและมาเลเซียแล้ว เทเลนอร์ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาตินอร์เวย์ ยังมีการลงทุนในอีก 5 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ค ฟินแลนด์ สวีเดน บังคลาเทศ และปากีสถาน (รวมเป็น 8 ประเทศ) โดยใน 4 ประเทศยุโรปนั้น เทเลนอร์ลงทุนเต็ม 100%

แต่ใน 4 ประเทศเอเชีย เทเลนอร์ลงทุน 100% เฉพาะที่ปากีสถาน ส่วนที่บังคลาเทศ บริษัทถือหุ้นใหญ่ 55.8%  ขณะที่ในไทยและมาเลเซียหลังควบรวมกิจการกับพันธมิตรท้องถิ่น เทเลนอร์ถือหุ้นเพียง 30% และ 33.1% ตามลำดับ

ในอดีตเทเลนอร์เคยมีการลงทุนในอีก 14 ประเทศในยุโรปและเอเชีย แต่ได้ทยอยถอนการลงทุนออกมาเรียบร้อยแล้วระหว่างปี 2542-2564 ได้แก่ กรีซ ไอร์แลนด์ เยอรมนี สโลวาเกีย สาธารณรัฐเชค ออสเตรีย อินเดีย เซอร์เบีย มอนเตอเนโกร บัลแกเรีย ฮังการี รัสเซีย ยูเครน และเมียนมา

โดยกรณีการถอนการลงทุนออกจากเมียนมานั้น เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2564 เทเลนอร์ประกาศว่าบริษัทจะขายบริษัทในเครือคือ บริษัทเทเลนอร์ เมียนมา

โดยระบุเหตุผลว่า รัฐบาลทหารต้องการให้บริษัทติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมบนเครือข่าย กลายเป็นแรงกดดันให้บริษัทต้องถอนยวงออกจากประเทศเมียนมา ทั้งๆที่เทเลนอร์ เมียนมา นั้นเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการหลักในประเทศที่มีผู้ลงทะเบียนใช้งานถึง 18 ล้านราย

หลายเดือนถัดมา รัฐบาลทหารได้อนุมัติการขายกิจการของเทเลนอร์ให้บริษัท M1 Group จากประเทศเลบานอน ภายใต้เงื่อนไขว่าบริษัทใหม่หลังเทเลนอร์ถอนหุ้นออกไป ต้องบริษัทท้องถิ่น คือ บริษัท Shwe Byain Phyu เข้าควบคุมกิจการ 80% 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้การถอนการลงทุนของเทเลนอร์จากเมียนมาแวดล้อมด้วยเรื่องฉาว และยังบริษัทยังถูกโจมตีจากนักวิจารณ์ว่า ไม่มีความรับผิดชอบเพราะข้อมูลส่วนตัวของสมาชิกผู้ใช้บริการบริษัทเทเลนอร์ เมียนมา(เดิม) กว่า 18 ล้านราย อาจตกอยู่ในมือของรัฐบาลทหารในที่สุด 

 
โฟกัสธุรกิจของเทเลนอร์นับจากนี้
เมื่อการควบรวมกิจการทั้งในมาเลเซียและไทยเสร็จสิ้นลง การดำเนินธุรกิจของเทเลนอร์เอเชีย จะให้ความสำคัญกับการทำงานผนึกกำลังจากการควบรวมกิจการทั้ง 2 แห่งนี้ และสร้างโอกาสสูงสุดใน 3 ด้าน ประกอบด้วย

1.เพิ่มการใช้งานโทรศัพท์มือถือและการใช้ข้อมูล ในตลาดบังกลาเทศและปากีสถาน (มีประชากรกว่า 150 ล้านคนใน 2 ประเทศนี้ที่ยังไม่มีอุปกรณ์มือถือใช้ และ 50% ของฐานลูกค้าปัจจุบันสมัครใช้บริการเสียงเท่านั้น - ข้อมูลปี 65)

2.ขยายตลาดกลุ่มผู้ประกอบการ B2B (Business to Business) ส่วนแบ่งรายได้ในปัจจุบันของเทเลนอร์เอเชียจากส่วนนี้อยู่ที่ประมาณ 5% จึงมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก (รายได้ B2B ของเทเลนอร์เอเชียเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในช่วงที่การแพร่ระบาดหนักของโควิดทำให้ภาพรวมของตลาดโทรคมนาคมในส่วน B2B ลดลง) 

3. มุ่งสู่สถานะการเป็น "มากกว่าผู้ให้บริการเชื่อมต่อมือถือ" โดยจะเพิ่มบริการสำหรับลูกค้าในด้านต่างๆ มากขึ้น เช่น บริการด้านประกันภัย ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และบริการเกมต่างๆ